|
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
เรื่องเกวียน ๕๐๐ เล่ม
(เกวียนผ่านอาฬารดาบส แต่ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น)
[๑๒๐] ก็สมัยนั้น โอรสเจ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ เป็นสาวกของ อาฬารดาบส กาลามโคตร ออกจากเมืองกุสินารา เดินทางไกลไปยังเมืองปาวา ปุกกุสมัลลบุตร ได้เห็น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อโอรสเจ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ
นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว
พวกบรรพชิต ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ เรื่องเคยมีมาแล้ว อาฬารดาบสกาลามโคตร เดินทางไกล แวะออกจากหนทาง นั่งพัก กลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ในที่ไม่ไกล
ครั้งนั้น
เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ได้ผ่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ติดกันไป บุรุษคนหนึ่งซึ่งเดินทางตามหลังหมู่เกวียนมา เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร ถึงที่พัก ครั้นเข้าไปหาแล้วถามท่าน อาฬารดาบสกาลามโคตร ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มผ่านไปบ้างหรือ
อ. ท่านผู้มีอายุ เรามิได้เห็น
บ. ก็ท่านไม่ได้ยินเสียงหรือ
เราไม่ได้ยิน
ท่านหลับหรือ
เรามิได้หลับ
ท่านยังมีสัญญาอยู่หรือ
อย่างนั้น (ใช่ ยังมี)
ท่านผู้มีอายุฯ ท่านยังมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่ได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่าน ติดๆ กันไป
และไม่ได้ยินเสียง
ก็ผ้าของท่านเปรอะเปื้อนไปด้วยธุลีบ้างหรือ
อย่างนั้น(ใช่)
ท่านผู้มีอายุฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ลำดับนั้น บุรุษนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ
เหตุไม่เคยมีมามีแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ ดังที่ท่านผู้ยังมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่ได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่านติดๆ กันไป และไม่ได้ยินเสียง
บุรุษนั้นประกาศความเลื่อมใสอย่างยิ่งในอาฬารดาบสกาลามโคตร แล้วหลีกไป
...................................................................................
พระผู้มีพระภาค ตรัสถาม ปุกกุสมัลลบุตร ว่า
ดูกรปุกกุสะ ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้น เป็นไฉน ผู้ยังมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่เห็นเกวียน ประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่านติดๆกันไป และไม่ได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง
ผู้ที่ยังมีสัญญาตื่นอยู่เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ มิได้เห็น และไม่ได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ อย่างไหน จะทำได้ ยากกว่ากัน หรือให้เกิด
ขึ้นได้ยากกว่ากัน
ปุกกุสมัลล บุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เกวียน ๕๐๐ เล่ม ๖๐๐ เล่ม ๗๐๐ เล่ม ๘๐๐ เล่ม ๙๐๐ เล่ม ๑,๐๐๐ เล่ม ฯลฯ ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม จักกระทำอะไรได้ ผู้ที่ยังมีสัญญา
ตื่นอยู่ เมื่อฝน กำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ มิได้เห็น และไม่ได้ยินเสียง
อย่างนี้แหละ ทำได้ยากกว่า และให้เกิดขึ้นได้ยากกว่า
พระผู้มีพระภาค อธิบายความ
[๑๒๑] ดูกรปุกกุสะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ใน โรงกระเดื่อง ในเมืองอาตุมา สมัยนั้นเมื่อฝน กำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี่น้อง และโคพลิพัทสี่ตัวถูก
สายฟ้าฟาด ในที่ใกล้โรงกระเดื่อง
ลำดับนั้น หมู่มหาชนในเมืองอาตุมา พากันออกมา แล้วเข้าไปหาชาวนาสองพี่น้อง นั้น และโคพลิพัทสี่ตัว ซึ่งถูกสายฟ้าฟาด
ดูกรปุกกุสะ สมัยนั้นเราออกจากโรงกระเดื่อง จงกรมอยู่ในที่แจ้ง ใกล้ประตูโรง กระเดื่อง ครั้งนั้น บุรุษคนหนึ่งออกมา จากหมู่มหาชนนั้น เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหา แล้วอภิวาทเราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเราได้กล่าวกะบุรุษนั้น ว่า
ดูกรท่าน ผู้มีอายุ หมู่มหาชนนั้นประชุมกันทำไมหนอฯ
บ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่
ชาวนาสองพี่น้อง และโคพลิพัทสี่ตัวถูกสายฟ้าฟาด หมู่มหาชนประชุมกัน เพราะเหตุนี้
ก็ท่านอยู่ในที่ไหนเล่า
เราอยู่ในที่นี้เอง
ก็ท่านไม่เห็นหรือ
เราไม่ได้เห็น
ก็ท่านไม่ได้ยินเสียงหรือ
เราไม่ได้ยิน
ก็ท่านหลับหรือ
เราไม่ได้หลับ
ก็ท่านยังมีสัญญาหรือ
อย่างนั้น(ใช่) ท่านผู้มีอายุ
ก็ท่านยังมีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก
ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้า ผ่าอยู่ ไม่ได้เห็น และ ไม่ได้ยินเสียงหรือ
อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ
ดูกรปุกกุสะ ลำดับนั้น บุรุษนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ เหตุไม่เคย
มีมามีแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ ดังที่ท่าน ผู้ยังมีสัญญา ตื่นอยู่
เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ไม่ได้ เห็น และไม่ได้ยิน เสียงบุรุษนั้น
ประกาศความเลื่อมใสอย่างยิ่งในเรา กระทำ ประทักษิณแล้วหลีกไปฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปุกกุสมัลลบุตร ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์โปรยความเลื่อมใสในอาฬารดาบส กาลามโคตร ลงในพายุใหญ่
หรือลอยเสียในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิต ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงาย ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอก ทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุ จักเห็นรูป ดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรง ประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าพระองค์นี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ พระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้า
พระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วัน นี้เป็นต้นไปฯ
..............................................................................................................................................
ปุกกุสมัลลบุตรถวายผ้าเนื้อละเอียดสีดั่งทอง
พระผู้มีพระภาค
ครองผ้านี้ จนปรินิพพาน
ลำดับนั้น ปุกกุสมัลลบุตรสั่งบุรุษคนหนึ่งว่า ดูกรพนายท่าน จงช่วยนำคู่ ผ้าเนื้อ
ละเอียด มีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเรามา บุรุษนั้นรับคำปุกกุสมัลล บุตรแล้ว นำคู่ผ้าเนื้อ
ละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเขามาแล้ว ปุกกุส มัลลบุตร จึงน้อมคู่ผ้า
เนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้นเข้าไปถวาย แด่พระผู้มี พระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคีนี้ เป็นผ้าทรง ขอพระผู้มี พระภาคจงอาศัยความอนุเคราะห์ ทรงรับคู่ผ้านั้นของข้า พระองค์เถิด พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
ดูกรปุกกุสะ ถ้าเช่นนั้นท่านจงให้เราครอง ผืนหนึ่ง ให้อานนท์ครองผืนหนึ่ง ปุกกุสมัลลบุตรรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค แล้วยังพระผู้มีพระภาค ให้ทรงครอง ผืนหนึ่ง ให้ท่านพระอานนท์ครองผืนหนึ่ง
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังปุกกุสมัลลบุตรให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ปุกกุสมัลลบุตร อันพระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วลุกจากอาสนะ ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป
[๑๒๒] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน ได้น้อม
คู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้นเข้าไปสู่พระกาย ของพระผู้มี พระภาค ผ้าที่ท่านพระอานนท์น้อมเข้าไปสู่พระกายของพระผู้มีพระภาค นั้น ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลวฉะนั้น (ผิวผ่อง)
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยมีมามีแล้ว พระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก คู่ผ้าเนื้อ
ละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนี้ ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่พระกาย ของพระผู้มี พระภาคย่อมปรากฏ ดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
อานนท์ ในกาลทั้งสอง กายของตถาคตย่อม
บริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ในกาลทั้งสองเป็นไฉน คือ ในราตรีที่ตถาคต ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ในราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๑
ดูกรอานนท์ในกาลทั้งสองนี้แล กายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณ ผุดผ่องยิ่งนัก
ดูกรอานนท์ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แล ความปรินิพพานของตถาคต จักมีในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันอันเป็นที่แวะพัก ของมัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ในเมืองกุสินารา มาไปกันเถิด อานนท์ เราจักไปยังแม่น้ำกกุธานที ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
[๑๒๓] ปุกกุสะนำผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคีเข้าไปถวายพระศาสดา ทรงครองคู่ผ้านั้นแล้ว มีพระวรรณดังทอง งดงามแล้ว
[๑๒๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยัง แม่น้ำ
กกุธานที ครั้นแล้วเสด็จลงสู่แม่น้ำกกุธานที ทรงสรงแล้ว เสวย แล้ว เสด็จขึ้น เสด็จไปยังอัมพวัน ตรัสเรียกท่านพระจุนทกะมารับสั่งว่า
ดูกรจุนทกะ เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้นให้เรา
เราเหน็ดเหนื่อยนัก จัก นอนพัก ท่านพระจุนทกะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิ ซ้อนกัน เป็นสี่ชั้น
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัสเบื้องขวา ทรงซ้อน พระบาท เหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงมนสิการ อุฏฐานสัญญา ส่วนท่าน
พระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ในที่นั้นแหละ
[๑๒๕] พระพุทธเจ้าผู้ศาสดา ผู้พระตถาคต หาผู้เปรียบมิได้ในโลก ทรงเหน็ดเหนื่อย เสด็จถึงแม่น้ำกกุธานที มีน้ำใส จืด สะอาด เสด็จลงแล้วทรงสรง และเสวยน้ำแล้ว อันหมู่
ภิกษุแวดล้อม เสด็จไปในท่ามกลาง พระผู้มีพระภาคผู้ศาสดา ทรงแสวงหาคุณ อันยิ่งใหญ่ ทรงเป็นไปในธรรมนี้เสด็จถึงอัมพวันแล้ว รับสั่งกะภิกษุ นามว่าจุนทกะ ว่า เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้นให้เรา เราจะนอน
พระจุนทกะนั้น อันพระผู้มีพระภาคผู้อบรม พระองค์ทรงเตือนแล้ว รีบปูผ้าสังฆาฏิพับ เป็นสี่ชั้นถวาย พระศาสดา ทรงบรรทมแล้ว หายเหน็ดเหนื่อย ฝ่ายพระจุนทกะ นั่งเฝ้า อยู่เฉพาะพระพักตร์ ในที่นั้น
[๑๒๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์
บางทีใครๆ จะทำความร้อนใจให้เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูกรนายจุนทะ มิใช่ลาภของท่าน
ท่านได้ไม่ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวย บิณฑบาตของ ท่านเป็นครั้งสุดท้าย เสด็จปรินิพพานแล้ว ดังนี้
เธอพึงช่วยบันเทาความร้อนใจ ของนายจุนทกัมมารบุตรเสียอย่างนี้ว่า ดูกรนายจุนทะ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้วที่พระตถาคตเสวย บิณฑบาต ของท่าน เป็นครั้งสุดท้าย เสด็จปรินิพพานแล้ว เรื่องนี้เราได้ฟังมา ได้รับมา เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคว่า บิณฑบาต สองคราวนี้มีผลเสมอๆ กัน มีวิบากเสมอๆ กัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก
บิณฑบาตสองคราวเป็นไฉน คือ
- ตถาคตเสวย บิณฑบาตใดแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมา(๑) สัมโพธิญาณ
อย่างหนึ่ง
- ตถาคตเสวย บิณฑบาตใดแล้วเสด็จปรินิพพาน(๒)ด้วยอนุปาทิเสสนิพานธาตุ อย่างหนึ่ง
(๑) พ่อค้าชื่อ ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ถวายสัตตุผง และสัตตุก้อน(ข้าวตู)ผสมน้ำผึ้ง ณ เมืองอุรุเวลา
(๒)นายจุนฑ กัมมารบุตร ถวายมือสุดท้าย ที่เมืองปาวา ก่อนปรินิพพาน
บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลเสมอๆกัน มีวิบากเสมอๆกัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ ใหญ่กว่า
บิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก กรรมที่นายจุนทกัมมารบุตรก่อสร้างแล้วเป็น ไปเพื่ออายุ ... เป็นไปเพื่อวรรณะ ... เป็นไปเพื่อความสุข ... เป็นไปเพื่อยศ ... เป็นไปเพื่อสวรรค์ ... เป็นไปเพื่อความเป็นใหญ่ยิ่ง
ดูกรอานนท์ เธอพึงช่วยบันเทา ความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตร เสียด้วยประการ
ฉะนี้ ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความนั้นแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
[๑๒๗] บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรย่อมไม่ก่อแก่ผู้สำรวมอยู่ คนฉลาดเทียว ย่อมละ
กรรมอันลามก เขาดับแล้วเพราะราคะ โทสะ โมหะ สิ้นไป
จบภาณวารที่สี่
|