พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑ [๒๙๕]
เปรต
แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 ประเภท
1. อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ
2. มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ
3. มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
4. นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
5. อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
6. สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
7. อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
8. สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
9. ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
10. กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
11. คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
12. คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
13. นิจฉวิตกิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
14. ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
15. โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
16. อลิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ
17. ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ
18. ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี
19. สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
20. สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
21. สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ลักขณสังยุตต์ปฐมวรรคที่ ๑
เปรตวิสัย (วรรค 1 เปรต 10 ประเภท)
๑. อัฏฐิสูตร
[๖๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
เขตพระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระลักขณะ กับ ท่านพระมหา โมคคัลลานะ อยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ฯ
[๖๓๗] ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปหาท่านพระลักขณะจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าว
ชวนท่านพระลักขณะว่า มาไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ด้วยกันเถิดท่านลักขณะ
ท่านพระลักขณะรับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า อย่างนั้น ลำดับนั้นแล ท่าน
พระมหาโมคคัลลานะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้ยิ้มแย้มขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ทีนั้นท่านพระลักขณะได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้ม ท่านมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านลักขณะมิใช่เวลาที่จะเฉลยปัญหาข้อนี้ ท่านจงถามผมในสำนักพระผู้มี พระภาคเถิด ฯ
[๖๓๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยว
บิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตตาหารแล้ว เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระลักขณะนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ถาม
ท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้
ยิ้มแย้มขึ้นแล้วในที่แห่งหนึ่ง ดูกรท่านพระมหาโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุ
เป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้มขึ้น ฯ
[๖๓๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นโครงกระดูกลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุม
บ้าง ต่างก็โผถลาตามเจาะ จิก ทึ้งโครงกระดูกนั้น ได้ยินว่า โครงกระดูกนั้น
ส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่า อัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์แม้
เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้
ก็จักมี ฯ
[๖๔๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ เพราะว่า แม้สาวก
ก็จักรู้ จักเห็นสัตว์เช่นนี้ หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้น
เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พยากรณ์ไว้ หากว่าเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆ
ก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์
สิ้นกาลนาน แก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนคร
ราชคฤห์นี้เอง ด้วยผลของกรรมนั้น เขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปี สิ้นร้อยปี
พันปี แสนปี เป็นอันมาก ด้วยผลของกรรมนั่นแหละยังเหลืออยู่ เขาจึงต้อง
เสวยการได้อัตภาพเห็นปานนี้ ฯ
๒. เปสิสูตร
[๖๔๑] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง
ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง ชิ้นเนื้อนั้น ได้ยินว่า ชิ้นเนื้อนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ
๓. ปิณฑสูตร
[๖๔๒] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นก้อนเนื้อลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุม
บ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง ก้อนเนื้อนั้น ได้ยินว่า ก้อนเนื้อนั้น ส่งเสียง
ร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฆ่านกขาย อยู่ใน
พระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ
๔. นิจฉวิสูตร
[๖๔๓] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษไม่มีผิวหนังลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง นก
ตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง บุรุษนั้น ได้ยินว่า บุรุษนั้นส่งเสียงร้อง
ครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฆ่าแกะขาย อยู่ในพระนคร
ราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๕. อสิสูตร
[๖๔๔] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษผู้มีขนเป็นดาบลอยอยู่ในเวหาส ดาบเหล่านั้นของบุรุษนั้น
ลอยขึ้นไปๆ แล้วก็ตกลงที่กายของบุรุษนั้นแหละ ได้ยินว่า บุรุษนั้นส่งเสียงร้อง
ครวญคราง ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฆ่าสุกรขาย อยู่ในพระนคร
ราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๖. สัตติสูตร
[๖๔๕] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษมีขนเป็นหอกลอยอยู่ในเวหาส หอกเหล่านั้นของ
บุรุษนั้นลอยขึ้นไปๆ แล้วก็ตกลงที่กายของบุรุษนั้นเอง ได้ยินว่า บุรุษนั้น
ส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฆ่าเนื้อขาย อยู่
ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๗. อุสุสูตร
[๖๔๖] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษมีขนเป็นลูกธนูลอยอยู่ในเวหาส ลูกธนูเหล่านั้นของ
บุรุษนั้นลอยขึ้นไปๆ แล้วก็ตกลงที่กายของบุรุษนั้นเอง ได้ยินว่าบุรุษนั้นส่ง
เสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นเพชฌฆาตอยู่ใน
พระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๘. สูจิสูตรที่ ๑
[๖๔๗] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษมีขนเป็นประตักลอยอยู่ในเวหาส ประตักเหล่านั้นของ
บุรุษนั้นลอยขึ้นไปๆ แล้วก็ตกลงที่กายของบุรุษนั้นเอง ได้ยินว่า บุรุษนั้น
ส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนฝึกม้า อยู่ใน
พระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๙. สูจิสูตรที่ ๒
[๖๔๘] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษมีขนเป็นเข็มลอยอยู่ในเวหาส เข็มเหล่านั้นของบุรุษนั้น
เข้าไปในศีรษะแล้วออกทางปาก เข้าไปในปากแล้วออกทางอก เข้าไปในอกแล้ว
ออกทางท้อง เข้าไปในท้องแล้วออกทางขาอ่อน เข้าไปในขาอ่อนแล้วออกทาง
แข้ง เข้าไปในแข้งแล้วออกทางเท้า ได้ยินว่า บุรุษนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้เป็นคนส่อเสียดอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๑๐. อัณฑภารีสูตร
[๖๔๙] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษมีอัณฑะใหญ่เท่าหม้อลอยอยู่ในเวหาส บุรุษนั้นแม้เมื่อเดิน
ไปก็แบกอัณฑะนั้นไว้บนบ่า แม้เมื่อนั่งก็ทับอัณฑะนั้นแหละ แร้งบ้าง กาบ้าง
นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง บุรุษนั้น ได้ยินว่า บุรุษนั้นส่งเสียงร้อง
ครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นผู้พิพากษาตัดสินอรรถคดีโกง
อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
ทุติยวรรคที่ ๒ (วรรค2 เปรต 11 ประเภท)
๑. กูปนิมุคคสูตร
[๖๕๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์ ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผม
ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถจนมิดศีรษะ ฯลฯ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นคนทำชู้กับภรรยาของผู้อื่น อยู่ในพระนครราชคฤห์
นี้เอง ฯลฯ ฯ
๒. คูถขาทิสูตร
[๖๕๑] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นบุรุษผู้จมอยู่ในหลุมคูถ ใช้มือทั้งสองกอบคูถกิน ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้ได้เป็นพราหมณ์อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง พราหมณ์
นั้นนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยภัตแล้ว เอา
คูถใส่จนเต็มรางแล้ว ใช้ให้คนไปบอกเวลาแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอพวก
ท่านจงฉันและจงนำไปจนพอแก่ความต้องการเถิด ฯลฯ ฯ
๓. นิจฉวิตถีสูตร
[๖๕๒] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงผู้ไม่มีผิวหนังลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง นก
ตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง หญิงนั้น ได้ยินว่าหญิงนั้นส่งเสียงร้อง
ครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงนี้ได้เป็นหญิงประพฤตินอกใจสามี
อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๔. มังคุฬิตถีสูตร
[๖๕๓] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงมีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดลอยอยู่ในเวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง
นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง หญิงนั้น ได้ยินว่า หญิงนั้นส่งเสียง
ร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หญิงนี้ได้เป็นหญิงแม่มด อยู่ใน
พระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๕. โอกิลินีสูตร
[๖๕๔] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นหญิงผู้มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มเต็มไปด้วยถ่านเพลิงลอยอยู่ใน
เวหาส ได้ยินว่า หญิงนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
หญิงนี้ได้เป็นพระอัครมเหสี ของพระเจ้ากาลิงค์ นางถูกความหึงครอบงำ ได้เอา
เตาซึ่งเต็มด้วยถ่านเพลิงเทรดหญิงร่วมผัว ฯลฯ ฯ
๖. สีสัจฉินนสูตร
[๖๕๕] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นตัวกะพันธ์ไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ลอยอยู่ใน
เวหาส แร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามจิก ทึ้ง ตัวกะพันธ์
นั้น ได้ยินว่า ตัวกะพันธ์นั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตว์นี้ได้เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร ชื่อว่าหาริก อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ฯลฯ ฯ
๗. ภิกขุสูตร
[๖๕๖] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นภิกษุลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตรก็ดี ประคตเอว
ก็ดี ร่างกายก็ดี ของภิกษุนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า ภิกษุนั้น
ส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ได้เป็นภิกษุผู้ชั่วช้าใน
ศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯลฯ ฯ
๘. ภิกขุนีสูตร
[๖๕๗] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นภิกษุณีลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตรก็ดี ประคต
เอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของภิกษุณีนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า
ภิกษุณีนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีนี้ได้เป็นภิกษุณี
ผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯลฯ ฯ
๙. สิกขมานาสูตร
[๖๕๘] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสิกขมานาลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตรก็ดี ประคต
เอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของสิกขมานานั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า
สิกขมานานั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขมานานี้ได้เป็น
สิกขมานาผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯลฯ ฯ
๑๐. สามเณรสูตร
[๖๕๙] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสามเณรลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตรก็ดี ประคต
เอวก็ดี ร่างกายก็ดี ของสามเณรนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า
สามเณรนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สามเณรนั้นเป็น
สามเณรผู้ชั่วช้าในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯลฯ ฯ
๑๑. สามเณรีสูตร
[๖๖๐] ฯลฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจากภูเขา
คิชฌกูฏ ได้เห็นสามเณรีลอยอยู่ในเวหาส ผ้าสังฆาฏิก็ดี บาตรก็ดี ประคตเอว
ก็ดี ร่างกายก็ดี ของสามเณรีนั้น อันไฟติดทั่วลุกโชติช่วงแล้ว ได้ยินว่า สามเณรี
นั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ
สัตว์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้
ก็จักมี ฯ
[๖๖๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ เพราะแม้สาวกก็จัก
รู้จักเห็นสัตว์เห็นปานนี้ หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อน สามเณรีนั้นเราก็ได้เห็นแล้ว
เหมือนกัน แต่ว่ามิได้พยากรณ์ หากว่าเราจะพึงพยากรณ์สามเณรีนี้ไซร้ คนอื่น
ก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้น
กาลนาน แก่ผู้ที่ไม่เชื่อถือเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สามเณรีได้เป็นสามเณรีผู้ชั่วช้า
ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยผลของกรรมนั้น สามเณรีนั้นหมก
ไหม้แล้วในนรกสิ้นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี เป็นอันมาก ด้วยผลของกรรม
นั่นแหละยังเหลืออยู่ สามเณรีนั้นจึงต้องเสวยการได้อัตภาพเห็นปานดังนี้ ฯ
|