เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ (อานันทภัทเทกรัตตสูตร) 260  
 
  (โดยย่อ)

ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่ง ที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็น อันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง

(1) ก็บุคคลย่อม คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว อย่างไร
คือรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆว่า ในกาลที่ล่วงไปแล้ว เราได้มีรูปอย่างนี้ ได้มีเวทนา ได้มีสัญญา ได้มีสังขาร ได้มีวิญญาณอย่างนี้
(ส่วนบุคคลที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว จะคิดตรงกันข้าม)

(2) ก็บุคคลย่อม มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง อย่างไร
คือรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่าในกาลอนาคต ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ มีเวทนาอย่างนี้ มีสัญญาอย่างนี้ มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้
(ส่วนบุคคลที่ไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะคิดตรงกันข้าม)

(3) ก็บุคคลย่อม ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร
คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ 
เป็นผู้ไม่ได้เห็น ไม่ฉลาด ไม่ได้ฝึกธรรม ของพระอริยะ
ไม่ได้เห็น ไม่ฉลาด ไม่ได้ฝึกในธรรม ของสัตบุรุษ 
ย่อมเล็งเห็นรูป โดยความเป็นอัตตา 
ย่อมเล็งเห็นอัตตาว่ามีรูป เห็นรูปในอัตตา เห็นอัตตาในรูป 
ย่อมเล็งเห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขาร เห็นวิญญาณ  โดยความเป็นอัตตา
ย่อมเล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ เห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เห็นอัตตาในวิญญาณ
(ส่วนบุคคลที่ไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน จะคิดตรงกันข้าม)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์


๒. อานันทภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๒)


           [๕๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
            สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์สนทนากะ ภิกษุทั้งหลาย ในอุปัฏฐาน ศาลา ชักชวนให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วย ธรรม และกล่าวอุเทศ และวิภังค์ของ บุคคล ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ

           [๕๓๖] ครั้นในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ทรงหลีกเร้น เสด็จเข้าไปยัง อุปัฏฐานศาลา ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ พอประทับ นั่งเรียบร้อยแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครหนอแลสนทนากะพวกภิกษุ ในอุปัฏฐาน ศาลา ชักชวนให้อาจหาญ ร่าเริงด้วย กถาประกอบด้วยธรรม และกล่าวอุเทศ และวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ท่านพระอานนท์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มี พระภาค ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอสนทนากะ ภิกษุทั้งหลาย ชักชวนให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรม ได้กล่าวอุเทศ และวิภังค์ ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญอย่างไรเล่า ฯ

           [๕๓๗] ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ สนทนากะ ภิกษุทั้งหลาย ชักชวนให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรม ได้กล่าวอุเทศ และวิภังค์ ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญอย่างนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่ง ที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
ก็บุคคลใด เห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน
ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได้
บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ
ใครเล่าจะรู้ความตาย ในวันพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยน กับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น
ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบ
ย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้
มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวัน และกลางคืน
นั้นแล ว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

           [๕๓๘] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
(1)
ก็บุคคล ย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว อย่างไร คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลิน ในเรื่องนั้นๆ ว่า
  เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาล ที่ล่วงแล้ว
  ได้มีเวทนา อย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
  ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
  ได้มีสังขาร อย่างนี้ในกาล ที่ล่วงแล้ว
  ได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
ดูกรท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่า คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

           [๕๓๙] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลจะ ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว อย่างไร
คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลิน ในเรื่องนั้นๆว่า
  เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาล ที่ล่วงแล้ว
  ได้มีเวทนา อย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
  ได้มีสัญญา อย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
  ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาล ที่ล่วงแล้ว
  ได้มีวิญญาณอย่างนี้ ในกาลที่ล่วงแล้ว
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-

           [๕๔๐] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
(2)
ก็บุคคล ย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง อย่างไร คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลิน ในเรื่องนั้นๆ ว่า
  ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ ในกาล อนาคต
  พึงมีเวทนา อย่างนี้ในกาลอนาคต
  พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต
  พึงมี สังขารอย่างนี้ในกาลอนาคต
  พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่ง ที่ยังไม่มาถึง ฯ

           [๕๔๑] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลจะ ไม่มุ่งหวัง สิ่งที่ยังไม่มาถึง อย่างไร
คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลิน ในเรื่องนั้นๆ ว่า
  ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ ในกาล อนาคต
  พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต
  พึงมีสัญญาอย่างนี้ใน กาลอนาคต
  พึงมีสังขารอย่างนี้ในกาลอนาคต
  พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ
 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

        [๕๔๒] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
(3)
ก็บุคคล ย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร
คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ในโลกนี้
  เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ
  ไม่ฉลาดใน ธรรมของพระอริยะ
  ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ
  ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
  ไม่ฉลาดในธรรม ของสัตบุรุษ
  ไม่ได้ฝึกในธรรม ของสัตบุรุษ
  ย่อมเล็งเห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง
  เล็งเห็นอัตตา ว่ามีรูปบ้าง
  เล็งเห็นรูปใน อัตตาบ้าง
  เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง
  ย่อมเล็งเห็นเวทนา โดยความเป็นอัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมเล็งเห็นสัญญา โดยความเป็น อัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมเล็งเห็นสังขาร โดยความเป็นอัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมเล็งเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตาบ้าง
  เล็งเห็นอัตตา ว่ามีวิญญาณบ้าง
  เล็งเห็นวิญญาณ ในอัตตาบ้าง
  เล็งเห็นอัตตา ในวิญญาณบ้าง
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่าง่อนแง่น ในธรรมปัจจุบัน ฯ

           [๕๔๓] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลย่อม ไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร
คือ อริยสาวกผู้สดับแล้ว ในธรรมวินัยนี้
  เป็นผู้ได้เห็น พระอริยะ
  ฉลาดในธรรม ของพระอริยะ
  ฝึกดีแล้ว ในธรรมของพระอริยะ
  ได้เห็นสัตบุรุษ
  ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
  ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
  ย่อมไม่เล็งเห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง
  ไม่เล็งเห็นอัตตา ว่ามีรูปบ้าง
  ไม่เล็งเห็นรูป ในอัตตาบ้าง
  ไม่เล็งเห็นอัตตา ในรูปบ้าง
  ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนา โดยความเป็นอัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมไม่เล็งเห็นสัญญา โดยความเป็นอัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมไม่เล็งเห็นสังขาร โดยความเป็นอัตตาบ้าง ฯลฯ
  ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตาบ้าง
  ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีวิญญาณบ้าง
  ไม่เล็งเห็นวิญญาณ ในอัตตาบ้าง
  ไม่เล็งเห็นอัตตา ในวิญญาณบ้าง
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

           [๕๔๔]   บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใด เห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึง เจริญธรรมนั้น เนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อม เรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สนทนากะภิกษุทั้งหลาย ชักชวนให้ อาจหาญ ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรม ได้กล่าวอุเทศและวิภังค์ของบุคคล ผู้มีราตรี หนึ่งเจริญอย่างนี้แล ฯ

           [๕๔๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ดีแล้วๆ เธอสนทนากะ ภิกษุทั้งหลาย ชักชวนให้อาจหาญ ร่าเริงด้วยกถาประกอบด้วยธรรม ได้กล่าวอุเทศ และวิภังค์ของบุคคล ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ว่าบุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯลฯ พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคล ... นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้ถูกแล้ว ฯ

           [๕๔๖] ดูกรอานนท์
ก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลจะไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลจะไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร ฯลฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ

           [๕๔๗] บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯลฯ พระมุนีผู้สงบย่อมเรียก บุคคล ... นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี พระภาษิต ของ พระผู้มีพระภาคแล ฯ

จบ อานันทภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๒

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์