พระไตรปิฎก ฉบับหลวงเล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๑๙๕
วันเข้าจำอุโบสถแบบ โคปาลกอุโบสถ นิคัณฐอุโบสถ อริยอุโบสถ (อุโปสถสูตร)
[๕๑๐] ๗๑. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของ มิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น นางวิสาขา มิคารมาตา ได้เข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับในวัดอุโบสถ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหน แต่ยังวันอยู่ นางวิสาขากราบทูลว่า วันนี้ดิฉันเข้าจำอุโบสถ เจ้าข้า
พ. ดูกรนางวิสาขา อุโบสถมี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
๑. โคปาลกอุโบสถ
๒. นิคัณฐอุโบสถ
๓. อริยอุโบสถ
(๑) ดูกรนางวิสาขา ก็โคปาลกอุโบสถเป็นอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือน นายโคบาล เวลาเย็น มอบฝูงโคให้แก่เจ้าของแล้ว พิจารณาดังนี้ว่า วันนี้โคเที่ยวไป ในประเทศโน้นๆ ดื่มน้ำในประเทศโน้นๆ พรุ่งนี้ โคจักเที่ยวไปในประเทศโน้นๆ จักดื่มน้ำในประเทศโน้นๆ แม้ฉันใด
ดูกรนางวิสาขา ฉันนั้นเหมือนกัน คนรักษาอุโบสถบางคนในโลกนี้ พิจารณาดังนี้ ว่า วันนี้เราเคี้ยวของเคี้ยวชนิดนี้ๆ กินของชนิดนี้ๆ พรุ่งนี้เราจะเคี้ยวของเคี้ยวชนิดนี้ ๆ จักกินของกินชนิดนี้ๆ เขามีใจประกอบด้วยความโลภ อยากได้ของเขาทำวัน ให้ล่วงไป ด้วยความโลภนั้น ดูกรนางวิสาขาโคปาลกอุโบสถเป็นเช่นนี้แล
ดูกรนางวิสาขา โคปาลกอุโบสถ ที่บุคคลเข้าจำแล้วอย่างนี้แล ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก
(๒) ดูกรนางวิสาขา ก็นิคัณฐ อุโบสถ เป็นอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา มีสมณนิกายหนึ่ง มีนามว่านิครนถ์ นิครนฐ์เหล่านั้นชักชวน สาวก อย่างนี้ว่ามาเถอะ พ่อคุณท่าน
จงวางทัณฑะ ในหมู่สัตว์ ที่อยู่ทาง ทิศบูรพา ในที่เลย ร้อยโยชน์ ไป
จงวางทัณฑะ ในหมู่สัตว์ ที่อย่ทาง ทิศปัจจิม ในที่เลย ร้อยโยชน์ ไป
จงวางทัณฑะ ในหมู่สัตว์ ที่อยู่ทาง ทิศอุดร ในที่เลย ร้อยโยชน์ไป
จงวางทัณฑะ ในหมู่สัตว์ ที่อยู่ทาง ทิศทักษิณ ในที่เลย ร้อยโยชน์ไป
(หน่วยนับ ๑ ทัณฑะเท่ากับ ๒ ศอก-วางทัณฑะ คือวางศาสตรา)
นิครนถ์เหล่านั้นชักชวน เพื่อเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่ชักชวนเพื่อเอ็นดู กรุณาสัตว์ บางเหล่า ด้วยประการฉะนี้ นิครนถ์เหล่านั้น ชักชวนสาวก ในอุโบสถ เช่นนั้นอย่างนี้ว่า มาเถอะ พ่อคุณ ท่านจงทิ้งผ้าเสียทุกชิ้นแล้วพูดอย่างนี้ว่า เราไม่เป็นที่กังวลของใครๆ ในที่ไหนๆ และตัวเราก็ไม่มีความกังวลในบุคคล และสิ่ง ของใดๆ ในที่ไหนๆดังนี้ แต่ว่ามารดาและบิดาของเขารู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา แม้เขาก็รู้ว่า ท่านเหล่านี้เป็นมารดาบิดาของเรา
อนึ่ง บุตรและภรรยาของเขาก็รู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบิดาสามีของเรา แม้เขาก็รู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรภรรยาของเรา พวกทาสและคนงานของเขา รู้อยู่ว่าท่านผู้นี้เป็นนาย ของเรา ถึงตัวเขาก็รู้ว่า คนเหล่านี้เป็นทาส และคนงานของเรา เขาชักชวนในการ พูดเท็จ ในสมัยที่ควร ชักชวน ในคำสัตย์ ด้วยประการฉะนี้
เรากล่าวถึงกรรมของผู้นั้นเพราะมุสาวาท พอล่วงราตรีนั้นไป เขาย่อมบริโภค โภคะ เหล่านั้น ที่เจ้าของไม่ได้ให้ เรากล่าวถึงกรรมของ ผู้นั้น เพราะอทินนาทาน
ดูกรนางวิสาขา นิคัณฐอุโบสถเป็นเช่นนี้แล ดูกรนางวิสาขา นิคัณฐอุโบสถ ที่บุคคล เข้าจำแล้วอย่างนี้ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมากไม่แผ่ ไพศาลมาก
(๓) ดูกรนางวิสาขา ก็อริยอุโบสถเป็นอย่างไร (อุโบสถในธรรมวินัยนี้)
ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร ก็จิต
ที่ เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างไร ดูกรนางวิสาขา อริยสาวก ในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์ นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะเสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม เมื่อเธอหมั่น นึกถึงพระ ตถาคตอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนศีรษะ ที่เปื้อนจะทำให้สะอาดได้ด้วยความเพียร ก็ศีรษะที่เปื้อนจะทำให้สะอาด ได้ด้วยความเพียร อย่างไรจะทำให้สะอาดได้ เพราะอาศัย ขี้ตะกรัน ดินเหนียว น้ำ และความพยายามอันเกิดแต่เหตุนั้นของบุรุษ
ดูกรนางวิสาขา ศีรษะที่เปื้อน ย่อมทำให้สะอาดได้ ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ฉันใด จิตที่เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน จิตที่เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกนี้ เรียกว่าเข้าจำพรหมอุโบสถ อยู่ร่วมกับพรหม และ มีจิตผ่องใส เพราะปรารภพรหม เกิดความปราโมทย์ ละเครื่อง เศร้าหมอง แห่งจิต เสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความ เพียร อย่างนี้แล ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความ เพียร จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึก ถึงธรรมว่า พระธรรมอัน พระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้ว อันบุคคลผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน เมื่อเธอหมั่นนึกถึง ธรรมอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนกาย ที่เปื้อนจะทำให้สะอาด ได้ด้วยความเพียร ดูกรนางวิสาขา ก็กายที่เปื้อนย่อมทำให้สะอาด ได้ด้วยความเพียรอย่างไร จะทำให้ สะอาดได้เพราะอาศัยเชือก จุรณสำหรับอาบน้ำแ ละความพยายามที่เกิดแต่เหตุนั้น ของบุรุษดู กรนางวิสาขา กายที่เปื้อนย่อมทำให้สะอาดได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ฉันใด จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกนี้เรียกว่า เข้าจำธรรมอุโบสถอยู่ อยู่ร่วมกับธรรม และ มีจิต ผ่องใสเพราะปรารภธรรม เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมอง แห่งจิต เสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความ เพียรอย่างนี้ แล ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียร ก็จิตที่ เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ หมั่นระลึกถึงพระสงฆ์ ว่า พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติสมควร นี้คือคู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้พระสงฆ์สาวกของพระผู้มี พระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควร ทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เมื่อเธอหมั่นระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดควาปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนผ้าที่เปื้อน จะทำให้สะอาดได้ด้วยความเพียร ก็ผ้าที่เปื้อนจะทำให้สะอาดได้ด้วยความเพียรอย่างไร จะทำให้สะอาดได้ เพราะ อาศัยเกลือ น้ำด่าง โคมัย น้ำ กับความเพียรอันเกิดแต่เหตุนั้นของบุรุษ ดูกรนางวิสาขา ผ้าที่เปื้อนย่อมทำให้สะอาด ด้วยความเพียรอย่างนี้แลฉันใด จิตที่เศร้าหมองย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ได้ก็ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกนี้เรียกว่า เข้าจำสังฆอุโบสถ อยู่ร่วมกับสงฆ์ และมีจิต ผ่องใส เพราะปรารภสงฆ์เกิดความ ปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียร ก็จิตที่เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงศีลของตนอันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทยแก่ตัวท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหา ทิฐิลูบคลำ เป็นไปเพื่อสมาธิ เมื่อเธอหมั่นระลึกถึงศีลอยู่จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขาเปรียบเหมือนกระจกเงา ที่มัวจะทำให้ใสได้ด้วยความเพียร ก็กระจกเงาที่มัวจะทำให้ใส ได้ด้วยความเพียรอย่างไร จะทำให้ใสได้เพราะอาศัย น้ำมัน เถ้า แปลงกับความพยายาม อันเกิดแต่เหตุนั้นของบุรุษ
ดูกรนางวิสาขา กระจก ที่มัวจะทำให้ใส ได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ฉันใดจิต ที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ก็ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน ก็จิตที่เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ระลึกถึงศีลของตน ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกนี้ เรียกว่าเข้าจำศีลอุโบสถ อยู่ร่วมกับศีล และมีจิต ผ่องใส เพราะปรารภศีล เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมอง ย่อมทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียร ก็จิตที่เศร้าหมอง จะทำให้ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียรอย่างไร
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงเทวดาว่า เทวดาพวก ชั้น จาตุมหาราชิกามีอยู่ เทวดาพวกชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาพวกชั้นยามามีอยู่ เทวดา พวกชั้นดุสิต มีอยู่ เทวดาพวกชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาพวก ชั้นปรินิมมิตวสวัตตี มีอยู่ เทวดาพวกที่นับเนื่องเข้าในหมู่พรหมมีอยู่
เทวดาพวกที่สูงกว่านั้น ขึ้นไปมีอยู่
เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น ศรัทธา เช่นนั้น แม้ของเราก็มีเทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วย
ศีลเช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดใน ภพนั้น ศีลเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจาก ภพนี้ ไปเกิดในภพนั้น สุตะเช่นนั้น แม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยจาคะ เช่นใด จุติจากภพนี้ไปเกิดในภพนั้น จาคะเช่นนั้นแม้ของเราก็มี เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากภพนี้ ไปเกิดในภพนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเรา ก็มี เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดา เหล่านั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสเกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนทองที่หมองจะทำให้สุกได้ก็ด้วยความเพียรทอง ที่หมองจะทำให้สุกได้ด้วยความเพียรอย่างไร จะทำให้สุกได้ เพราะอาศัยเบ้า หลอม ทอง เกลือ ยางไม้ คีม กับความพยายามที่เกิด แต่เหตุนั้นของบุรุษ ดูกรนางวิสาขา ทองที่หมองจะทำให้สุก ได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แล ฉันใด จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ ผ่องแผ้ว ได้ด้วยความเพียร ฉันนั้นเหมือนกัน ...
ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกเช่นนี้เรียกว่า เข้าจำเทวดาอุโบสถ อยู่ร่วมกับเทวดา มีจิตผ่องใสเพราะปรารภเทวดา เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมอง แห่งจิต เสียได้ ดูกรนางวิสาขา จิตที่เศร้าหมองจะทำให้ผ่องแผ้วได้ด้วยความเพียรอย่างนี้แล
ดูกรนางวิสาขา(๑) พระอริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตราแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่จนตลอดชีวิต แม้เรา ก็ได้ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตราแล้ว มีความ ละอาย มีความเอ็นดูมีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ตลอดคืน หนึ่ง กับวันหนึ่งนี้ ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถ ก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(๒) พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่ เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นคนขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่จน ตลอดชีวิต แม้เราก็ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นคนขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ ตลอดคืนหนึ่ง กับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(๓) พระอรหันต์ทั้งหลาย ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุน อันเป็นกิจของ ชาวบ้านจนตลอดชีวิต แม้เรา ก็ได้ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาด จากเมถุน อันเป็นกิจของชาวบ้าน ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(๔) พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ไม่พูดลวงโลกจนตลอดชีวิต แม้เราก็ได้ละ การพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก ตลอดคืนหนึ่ งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(๕) พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่ง ความ ประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท แม้จนตลอดชีวิต แม้เราก็ละการดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความ ประมาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ ในวันนี้แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตาม พระอรหันต์ ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(๖) พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันหนเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดจากการฉันใน เวลา วิกาลจนตลอดชีวิต แม้เราก็บริโภคหนเดียว เว้นการบริโภคในราตรี งดจากการ บริโภค ในเวลาวิกาล ตลอดคืนหนึ่ง กับวันหนึ่งนี้ใน วันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำ ตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถจักเป็นอันเราเข้าจำแล้ว
(จ) พระอรหันต์ทั้งหลาย เว้นขาดจากฟ้อนรำขับร้อง การประโคมดนตรี และการดู การเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล จากการทัดทรงประดับ และตกแต่งกาย ด้วยดอกไม้ ของ หอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัวจนตลอดชีวิต แม้เรา ก็เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง การประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก แก่กุศล จากการทัด ทรงประดับตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่อง ประเทืองผิว อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งนี้ในวันนี้ แม้ด้วย องค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเป็นอันเรา เข้าจำแล้ว
(๘) พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการนั่งนอนบน ที่นั่ง ที่นอน อันสูงใหญ่ เว้นขาด จากการนั่งนอน บนที่นั่ง ที่นอน อันสูงใหญ่ สำเร็จการนอนบน ที่นอนอันต่ำ คือ บนเตียง หรือบนเครื่องปูลาด ที่ทำด้วยหญ้าจนตลอดชีวิต
แม้เราก็ได้ละการ นั่ง นอน บน ที่นั่ง ที่นอน อันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ สำเร็จการ นอน บนที่นอนอันต่ำ คือบนเตียงหรือบนเครื่องปูลาดที่ทำด้วยหญ้า ตลอดคืนหนึ่ง กับ วันหนึ่งในวันนี้ แม้ด้วยองค์อันนี้ เราก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ ทั้งหลาย ทั้งอุโบสถ ก็จักเป็น อันเราเข้าจำแล้ว
ดูกรนางวิสาขา อริยอุโบสถเป็นเช่นนี้แล อริยอุโบสถ อันบุคคลเข้าจำแล้ว อย่างนี้ แล ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก อริยอุโบสถมีผลมากเพียงไร มีอานิสงส์มากเพียงไร มีความรุ่งเรืองมากเพียงไร มีความแผ่ไพศาลมากเพียงไร
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
(เทียบอายุเทวดาชั้นกามภพ 6 ชั้น )
ดูกรนางวิสาขา เปรียบเหมือนผู้ใด พึงครองราชย์เป็นอิศราธิบดี แห่งชนบทใหญ่ ๑๖ แคว้นเหล่านี้ อันสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ คือ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตีวังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชย์ของผู้นั้น ยังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งอุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะราชสมบัติที่เป็นของมนุษย์ เมื่อนำเข้าไปเปรียบเทียบ กับสุขที่เป็นทิพย์ เป็นของเล็กน้อย ดูกรนางวิสาขา ๕๐ ปี ซึ่งเป็นของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง ของ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา(๑) โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปี โดยปีนั้น ๕๐๐ ปีอันเป็นทิพย์เป็นประมาณอายุ ของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกา ดูกรนางวิสาขา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ สตรีหรือ บุรุษบางคน ในโลกนี้ เข้าจำ อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว เมื่อแตกกาย ตายไป พึงเข้าถึง ความเป็นสหาย ของ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
ดูกรนางวิสาขา เราหมายเอาความ ข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติที่เป็นของ มนุษย์ เมื่อจะนำเข้าไป เปรียบเทียบกับสุข อันเป็นทิพย์ เป็นของ เล็กน้อย
ดูกรนางวิสาขา ๑๐๐ ปี อันเป็นของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของ เทวดา ชั้นดาวดึงส์ (๒) โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็น หนึ่งปี โดยปีนั้น พันปีอันเป็นทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์
ดูกรนางวิสาขา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้เข้าจำ อุโบสถอันประกอบ ด้วยองค์ ๘ แล้ว เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงความเป็นสหาย ของเทวดาชั้น ดาวดึงส์
ดูกรนางวิสาขา เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติของมนุษย์ เมื่อนำเข้าไปเปรียบเทียบกับสุข อันเป็นทิพย์เป็นของเล็กน้อย ดูกรนางวิสาขา ๒๐๐ ปี อันเป็นของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่ง กับวันหนึ่ง ของ เทวดาชั้นยามา(๓) โดยราตรี นั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปี โดยปีนั้น สองพันปี อันเป็น ทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นมายา ดูกรนางวิสาขา ก็ข้อนี้เป็นฐานะ ที่จะมีได้ คือ สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เข้าจำ อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว เมื่อแตกกายตายไปพึงเข้าถึงความเป็น สหาย ของเทวดาชั้นยามา
ดูกรนางวิสาขา เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติอันเป็นของมนุษย์ เมื่อนำ เข้าไปเปรียบเทียบกับสุขอันเป็นทิพย์ เป็นของ เล็กน้อย
ดูกรนางวิสาขา ๔๐๐ ปี อันเป็นของมนุษย์เป็นคืนหนึ่ง กับวันหนึ่ง ของ เทวดา ชั้นดุสิต(๔) โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือนโดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปี โดยปีนั้น ๔,๐๐๐ ปี อันเป็นทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดุสิต
ดูกรนางวิสาขา ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือสตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เข้าจำ อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงความเป็น สหาย ของเทวดาชั้นดุสิต
ดูกรนางวิสาขา เราหมายเอาความข้อนี้แลจึงกล่าวว่า ราชสมบัติ อันเป็นของ มนุษย์ เมื่อนำเข้าไปเปรียบเทียบกับสุข อันเป็นทิพย์ เป็นของเล็กน้อย
ดูกรนางวิสาขา ๘๐๐ ปี อันเป็นของมนุษย์ เป็นวันหนึ่ง กับคืนหนึ่งของ เทวดา ชั้นนิมมานรดี (๕) โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือน เป็น หนึ่งปี โดยปีนั้น ๘,๐๐๐ ปีอันเป็นทิพย์ เป็นประมาณของอายุของ เทวดาชั้น นิมมานรดี
ดูกรนางวิสาขา ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือสตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เข้า จำอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงความเป็น สหาย ของเทวดา ชั้นนิมมานรดี
ดูกรนางวิสาขา เราหมายเอาความข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติอันเป็นของ มนุษย์ เมื่อนำเข้าไปเปรียบเทียบกับสุข อันเป็นทิพย์ เป็นของเล็กน้อย
ดูกรนางวิสาขา ๑,๖๐๐ ปี อันเป็นของมนุษย์ เป็นคืนหนึ่ง กับ วันหนึ่งของ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี (๖) โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรีเป็นหนึ่งเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือนเป็น หนึ่งปีโดยปีนั้น ๑๖,๐๐๐ ปีอันเป็นทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดา ชั้น ปรนิมมิตวสวัสดี
ดูกรนางวิสาขา ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ สตรีหรือบุรุษ บางคน ในโลกนี้ เข้าจำอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘แล้ว เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึง ความเป็น สหายของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ดูกรนางวิสาขา เราหมายความ เอาข้อนี้แล จึงกล่าวว่า ราชสมบัติอันเป็นของมนุษย์ เมื่อนำเข้าไป เปรียบเทียบกับสุข อันเป็นทิพย์ เป็นของเล็กน้อย ฯ
บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงลักทรัพย์ ไม่พึงพูดเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมาพึงงดเว้น เมถุน อันเป็นความประพฤติไม่ประเสริฐ ไม่พึงบริโภคโภชนะในเวลาวิกาล ในกลางคืน ไม่พึง ทัดทรงดอกไม้ ไม่พึงลูบไล้ของหอม และพึงนอนบนเตียง บนพื้น หรือบนที่ซึ่งเขาปูลาด
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวอุโบสถ ที่ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แลว่า อันพระพุทธเจ้า ผู้ถึงที่สุดทุกข์ ทรงประกาศไว้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทั้งสองที่น่าดู ส่องแสง โคจรไปทั่ว สถานที่ประมาณเท่าใด และ พระจันทร์ พระอาทิตย์นั้น กำจัดความมืด ไปในอากาศ ทำให้ทิศรุ่งโรจน์ ส่องแสงอยู่ในนภากาศ ทั่วสถานที่มีประมาณเท่าใด
ทรัพย์คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ ทองสิงคี และทองคำตลอดถึงทอง ชนิด ที่เรียกว่า หฏกะ เท่าที่มีอยู่ในสถานที่ประมาณเท่านั้น ยังไม่ถึงแม้ซึ่งเสี้ยวที่ ๑๖ ของอุโบสถ ที่ประกอบด้วยองค์ ๘ และทั้งหมด ยังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของ แสงจันทร์ และ หมู่ดาว เพราะฉะนั้นแหละ สตรีบุรุษ ผู้มีศีล เข้าจำอุโบสถ ประกอบด้วย องค์ ๘ ทำบุญซึ่งมีสุขเป็นกำไร เป็นผู้ไม่ถูกนินทา ย่อมเข้าถึง สัคคสถาน |