เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ตปุสสสูตร ปัญหาของ ตปุสสคฤหบดี ว่าทำไมจิตจึงไ ม่แล่นไปสู่เนกขัมมะ(ดำริออกจากกาม) 1290
 

(โดยย่อ)

ปัญหาของ ตปุสสคฤหบดี
ตปุสสคฤหบดี เข้าไปหา ท่านพระอานนท์ ถามว่า พวกข้าพเจ้า เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เพลิดเพลิน ยินดี หมกมุ่น ในกาม แต่เนกขัมมะ(ดำริออกจากกาม) ไม่ปรากฏ ทั้งที่ได้ยินมาว่า จิตของภิกษุหนุ่มๆ ใน ธรรมวินัยนี้ ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ย่อมหลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ ...จากนั้น พระอานนท์ พร้อมด้วย ตปุสสคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

พ. เมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้  คิดว่า เนกขัมมะ เป็นความดี วิเวกเป็นความดี จิตของเรานั้น ยังไม่แล่นไป ยังไม่ตั้งมั่นในเนกขัมมะ ยังไม่หลุดพ้นเพราะเนกขัมมะ เพราะเราเห็นว่า นี้สงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้จิตของเรา ไม่แล่นไป ไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ

เราคิดต่อไปว่า ที่เรายังไม่เห็นโทษในกาม ไม่ได้กระทำให้มาก ทำให้ยังไม่บรรลุในเนกขัมมะ

เรามีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในกามแล้ว กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ใน เนกขัมมะแล้ว และเสพ อานิสงส์นั้นให้มาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

ต่อมา เราเห็นโทษในกาม ได้กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ในเนกขัมมะ แล้วเสพให้มาก จิตของเรา จึงแล่นไป ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

ต่อมา เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน... ทุติยฌาน... ตติยฌาน และจัตตุถฌาน (เพราะเห็นโทษในฌานระดับต่าง)

ต่อมา เราบรรลุ อากาสานัญจายตน... บรรลุวิญญานัญจายตน...บรรลุอากิญจัญญายตน... บรรลุเนว สัญญานาสัญญายตน... บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ (เพราะเห็นโทษในอรูปสัญญาแต่ละระดับ)

เมื่อใดแล เราเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ โดยอนุโลมและปฏิโลม อย่างนี้แล้ว เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็แหละญาณทัสนะ เกิดขึ้นแก่เราว่า เจโตวิมุติของเราไม่กำเริบชาตินี้มีในที่สุดบัดนี้ภพใหม่ไม่มี

โดยสรุป พระผู้มีพระภาคทรงเห็นโทษในสมาธิในแต่ละระดับ และทิ้งปิติในสมาธิระดับที่เข้าถึงอยู่ แล้วกระทำให้มากในสมาธิที่สูงขึ้น ไม่เพลิน ไม่คิดว่าสมาธิที่เข้าถึงนั้น ว่านั่นสงบ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง  เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๕๒


ตปุสสสูตร

     [๒๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของ ชนชาวมัลละ ชื่อ อุรุเวลกัปปะ ในแคว้นมัลละ ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตร และจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังอุรุเวลกัปปนิคม ครั้นแล้วเสด็จกลับ จาก บิณฑบาต ภายหลังภัต ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ว่า

     ดูกรอานนท์ เธอจงอยู่ในที่นี้ก่อน จนกว่าเราจะไปถึงป่ามหาวัน เพื่อผักผ่อนใน กลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ ถึง ป่ามหาวัน ประทับพักผ่อนกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง



1)
ปัญหาของตปุสสคฤหบดี เหตุใดจิตไม่แล่นไปสู่เนกขัมมะ (ดำริออกจากกาม)

     ครั้งนั้นแล ตปุสสคฤหบดี เข้าไปหา ท่านพระอานนท์ ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า

     ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เพลิดเพลินยินดี หมกมุ่นอยู่ในกาม เนกขัมมะไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้าเหล่านั้น เหมือนดังเหว

     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สดับมาดังนี้ว่า จิตของภิกษุหนุ่มๆ ในธรรมวินัยนี้ ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ย่อมหลุดพ้นในเพราะ เนกขัมมะ เมื่อเธอเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล้วนแต่เป็น วิสภาค(ตรงกันข้าม) กับ ชน เป็นอันมาก นั้นก็ คือ เนกขัมมะ

     ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูกรคฤหบดี เหตุแห่งถ้อยคำนี้ มีอยู่ มาเราไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วจัก กราบทูลเนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์แก่เราอย่างไร เราจักกระทำ อย่างนั้น ตปุสสคฤหบดี รับคำท่านพระอานนท์แล้ว



2)
พระอานนท์ พร้อมด้วย ตปุสสคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

     ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ พร้อมด้วย ตปุสสคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตปุสสคฤหบดี กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม เพลิดเพลิน ยินดี หมกมุ่น อยู่ในกาม เนกขัมมะ ไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้าเหล่านั้น เหมือนดังเหว

     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้สดับมาดังนี้ว่า จิตของพวกภิกษุหนุ่มๆ ในธรรมวินัยนี้ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเพราะ เนกขัมมะ เมื่อเธอเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ล้วนแต่เป็น วิสภาค กับชนเป็นอันมาก นั่นก็ คือ เนกขัมมะ ดังนี้ พระเจ้าข้า ฯ

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้นอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้นอานนท์


3)
เหตุที่จิตยังไม่แล่นไปในเนกขัมมะ เพราะยังไม่เห็นโทษของกามทั้งหลาย
จึงต้องกระทำให้มากเพื่อบรรลุอานิสงส์


     ดูกรอานนท์ แม้เมื่อเราเองก่อนแต่การตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เนกขัมมะเป็นความดี วิเวกเป็นความดี จิตของเรานั้น ยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่นใน เนกขัมมะ ยังไม่หลุดพ้นในเพราะ เนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นี้สงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็น ปัจจัยเครื่องให้จิตของเรา ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใสไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ไม่หลุดพ้น ใน เพราะเนกขัมมะ เพราะเราเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นจึงคิดต่อไปว่า โทษในกามทั้งหลาย ที่เรายังไม่เห็น และไม่ได้ กระทำให้ มาก
อานิสงส์ในเนกขัมมะ เรายังไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพโดยมาก เพราะฉะนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใสไม่ตั้งอยู่ใน เนกขัมมะ ไม่หลุดพ้น ในเพราะ เนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าว่าเราเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้ว พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ใน เนกขัมมะ แล้ว พึงเสพอานิสงส์นั้นโดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือจิตของเราจะพึงแล่น ไป พึงเลื่อมใส พึงตั้งอยู่ในเนกขัมมะ พึงหลุดพ้นใน เพราะเนกขัมมะ เมื่อเราพิจารณา เห็นว่า นั่นสงบ



4)
เพราะยังไม่เห็นโทษของกาม จึงกระทำให้มาก บรรลุปฐมฌาน

     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษ ในกาม แล้วได้กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ในเนกขัมมะแล้วเสพโดยมาก จิตของเรานั้นจึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ และสุข เกิดจากวิเวกอยู่ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วยกามย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเราเปรียบเหมือนความทุกข์ พึงบังเกิดขึ้น แก่คนผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียนฉะนั้น

     ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในทุติยฌาน อันไม่มี วิตกวิจาร ไม่หลุดพ้นในเพราะทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร เพื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ จิต ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร เพราะพิจารณา เห็นว่านั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในวิตกเราไม่เห็น และไม่ได้ทำให้ มาก อานิสงส์ ในทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร เราไม่ได้บรรลุ และ ไม่ได้เสพโดย มาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ... ในเพราะทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร เพราะ พิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในวิตก แล้วพึง กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร แล้วพึงเสพ โดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะ มีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ...



5)
ทำจิตไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในทุติยฌาน จึงบรรลุ ตติยฌาน

     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นแล เห็นโทษ ในวิตก...เสพโดยมาก ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะทุติยฌาน อันไม่มีวิตกวิจาร … เรานั้นบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการ อันสหรคตด้วยวิตก ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้า ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ...

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง ให้จิต ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในปีติ เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในตติยฌานอันไม่มีปีติ เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ...ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในปีติแล้ว พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ในตติยฌาน อันไม่มีปีติแล้ว พึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะ ที่จะ มีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ...



6)

     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษ ในปีติ ... เสพโดยมาก

     ดูกรอานนท์จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ ... เรานั้น บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการ อันสหรคต ด้วยปีติ ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุจตุตถฌาน ...ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้น ย่อมไม่แล่นไป ..ในจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้จิต ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เมื่อพิจารณา เห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า โทษในอุเบกขา และสุข เราไม่เห็น และไม่ได้ ทำให้มาก อานิสงส์ในจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เราไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพ โดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้น ได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในอุเบกขาและสุข แล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ในจตุตถฌานอันไม่มี ทุกข์ไม่มีสุข แล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้น เป็นฐานะที่ี่จะมีได้ คือ จิตของเราพึง แล่นไป ...


7)
     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา
เรานั้นเห็นโทษ ในอุเบกขาและสุข ... เสพโดยมาก

     ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ... เรานั้นบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการ อันสหรคตด้วยอุเบกขา ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุอากาสานัญจา ยตนฌาน ...ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้น ย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะอากาสานัญจา ยตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิต ของเรา ไม่แล่นไป ...ในเพราะอากาสานัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในรูปฌานทั้งหลาย เราไม่เห็นและ ไม่ได้ ทำให้มากอานิสงส์ใน อากาสานัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพ โดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ...ในเพราะอากาสานัญจา ยตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบเรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในรูปฌาน ทั้งหลายแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ใน อากาสานัญจายตน ฌานแล้ว พึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ...


8)
     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา
เราเห็นโทษ ในรูปฌานทั้งหลาย ... เสพโดยมาก      ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ...ในเพราะอากาสานัญจายตนฌาน ... เรานั้นแล ... บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วย วิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยรูปฌานทั้งหลาย ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุ วิญญาณัญจาย ตนฌาน ...ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้น ย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจา ยตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง ให้จิต ของเรา ไม่แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากาสานัญจายตนฌาน เราไม่ เห็น และไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ ในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุ และ ไม่ได้เสพ โดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตน ฌาน เพราะ พิจารณาเห็นว่านั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในอากาสานัญจายตนฌาน แล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ใน วิญญาณัญจายตนฌานแล้ว พึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ...



9)

     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษ ในอากาสานัญจายตนฌาน ... เสพโดยมาก ดูกรอานนท์ จิตของเราจึงแล่นไป ...ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน ... เรานั้นแล... บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน...ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรม นี้ สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยอากาสานัญจายตนฌาน ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุอากิญจัญญายตน ฌาน ... ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญายตน ฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ จิตของเรา ไม่แล่นไป ...ในเพราะอากิญจัญญายตนฌาน เพื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้เห็น และไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ ในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุ และ ไม่ได้ เสพ โดยมาก เหตุนั้นจิตของเรา จึงไม่แล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญา ยตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในวิญญาณัญจายตนฌาน แล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในอากิญจัญญา ยตนฌาน แล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือจิตของเราพึงแล่นไป


10)
     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา
เรานั้นเห็นโทษ ในวิญญาณัญจายตนฌาน ... เสพโดยมาก ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญายตน ฌาน ... เรานั้นแล ... บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ... ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วย วิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุเนวสัญญานา สัญญายตนฌาน จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานา สัญญายตน ฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่านั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง ให้จิต ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณา เห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้เห็น และไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้น ได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในอากิญจัญญายตนฌาน แล้วกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน แล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป...



11)
     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษ ในอากิญจัญญายตนฌาน...เสพโดยมากดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานา สัญญายตนฌาน ...เรานั้นแล... บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ... ดูกรอานนท์ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการ อันสหรคต ด้วยอากิญ จัญญายตน ฌาน ... ฉะนั้น ฯ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา เพราะล่วงเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ จิต ของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นใน เพราะ สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษ ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เราไม่เห็น และไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธ เราไม่ได้บรรลุ และ ไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นใน สัญญา เวทยิตนิโรธไม่หลุดพ้น ในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษ ในเนวสัญญานา สัญญายตนฌานแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว พึงเสพ โดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ  จิตของเราจะพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส พึงตั้งมั่น ในสัญญาเวทยิตนิโรธ พึงหลุดพ้นในเพราะสัญญา เวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่านั่นสงบ


12)

     ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษ ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วเสพโดยมาก

     ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไปเลื่อมใส ตั้งมั่น ในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพ้น ในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

     ดูกรอานนท์ เรานั้นแล บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานา สัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง และอาสวะทั้งหลายของเราได้ถึงความสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา ฯ

     ดูกรอานนท์ ก็เรายังเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ โดยอนุโลม และปฏิโลมอย่างนี้ไม่ได้เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น

     ดูกรอานนท์ ก็เมื่อใดแล เราเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่ง อนุบุพพวิหารสมาบัติ๙ ประการนี้ โดยอนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้แล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้ แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็แหละญาณทัสนะเกิดขึ้น แก่เราว่า เจโตวิมุติของเรา ไม่กำเริบชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี

 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์