พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๐๔
ฉันนสูตร
[๕๑๑] ๗๒. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ฉันนปริพาชก ได้ไปหา ท่านพระอานนท์ ยังที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่านการ ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะ ท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรท่านพระอานนท์ ท่านทั้งหลาย บัญญัติการละราคะ บัญญัติการละโทสะ บัญญัติ การละโมหะหรือ ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราบัญญัติการละราคะ บัญญัติการละโทสะ บัญญัติการละโมหะ
ฉ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ท่านทั้งหลาย
เห็นโทษในราคะอย่างไร จึงบัญญัติการ ละราคะ
เห็นโทษในโทสะอย่างไร จึงบัญญัติการ ละโทสะ
เห็นโทษในโมหะอย่างไร จึงบัญญัติการ ละโมหะ
อา. ดูกรท่านผู้มีอายุ
ละราคะ
บุคคลผู้กำหนัดถูกความกำหนัดครอบงำรัดรึงจิตไว้ ย่อมคิด เพื่อจะเบียดเบียน ตนเองบ้าง คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง คิดเพื่อจะเบียดเบียน ตนเองและผู้อื่น ทั้งสองฝ่ายบ้าง เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะ ได้แล้ว ย่อมไม่ คิด เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิด เพื่อจะเบียดเบียน ตนเอง และผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต
บุคคลผู้กำหนัด ถูกความกำหนัดครอบงำรัดรึงจิตไว้ ย่อมประพฤติทุจริตด้วย กาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละราคะได้แล้ว ย่อมไม่ ประพฤติ ทุจริตด้วยกาย ไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ
บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำ รัดรึงจิตไว้ ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ ตน ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ ซึ่ง ประโยชน์ตน และผู้อื่น ทั้งสองฝ่าย ตามความเป็นจริง เมื่อละราคะได้แล้ว ย่อมรู้ แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นตามความ เป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนและผู้อื่น ตามความเป็นจริง
ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำปัญญา ให้ดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
ละโมหะ
บุคคลผู้ดุร้าย ฯลฯ บุคคลผู้หลง ถูกความหลง ครอบงำ รัดรึงจิตไว้ ย่อมคิด เพื่อ จะเบียดเบียนตนเองบ้าง คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง คิดเพื่อจะเบียดเบียน ตนเอง และผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละ โมหะได้แล้ว ย่อมไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิดเพื่อจะ เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ไม่เสวยทุกข์โทมนัส ที่เป็นไป ทางจิต
บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ รัดรึงจิตไว้ ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อม ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ เมื่อละโมหะได้แล้ว ย่อมไม่ ประพฤติทุจริตด้วยกาย ไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ
บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำจิตรัดรึงจิตไว้ ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน ตามความ เป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่ง ประโยชน์ตน และผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ตามความเป็นจริง เมื่อละโมหะได้แล้ว ย่อมรู้แม้ ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่ง ประโยชน์ ผู้อื่นตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน และผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ตามความเป็นจริง ไม่หลง และ ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำปัญญาให้ดับ เป็นไปใน ฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
ละโทสะ
ดูกรผู้มีอายุ
เรา
เห็นโทษในราคะเช่นนี้แล จึงบัญญัติการละราคะ
เห็นโทษในโทสะ เช่นนี้ จึงบัญญัติการละโทสะ
เห็นโทษในโมหะเช่นนี้แล จึงบัญญัติการละโมหะ
ฉ. ดูกรท่านผู้มีอายุ มรรคาปฏิปทาเพื่อละ ราคะ โทสะ โมหะ นั้นมีหรือ ฯ
อา. มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นมีอยู่ ฯ
ฉ. ก็มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นเป็นไฉน ฯ
อา. อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แล มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั้น ฯ
ฉ. ดูกรท่านผู้มีอายุ มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นดี และสมควร เพื่อความไม่ประมาท ฯ |