พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๓๕
[๑๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมากเพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดา และมนุษย์ทั้งหลายบุคคลคนเดียว คือใคร คือ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมาก ออกจากสัทธรรมแล้ว ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม
[๑๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์หิตสุขแก่ เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียว คือใคร คือ บุคคลผู้เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นไม่วิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากอสัทธรรมแล้ว ให้ตั้งอยู่ใน สัทธรรม
[๑๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมี โทษมาก เหมือนมิจฉาทิฐินี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมี มิจฉาทิฐิเป็น อย่างยิ่ง ฯ
[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว ที่ปฏิบัติเพื่อ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหายมิใช่ ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับโมฆบุรุษ ชื่อว่ามักขลิ นี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลพึงทิ้งลอบไปที่ปากอ่าว เพื่อไม่เป็น ประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อความทุกข์เพื่อความเสื่อม ความพินาศแก่ปลาเป็นมาก แม้ฉันใด โมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแลเป็นดังลอบสำหรับดักมนุษย์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เพื่อความเสื่อม เพื่อความพินาศแก่สัตว์เป็นอันมาก ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัย ที่กล่าวไว้ชั่ว ๑
ผู้ที่ถูกชักชวน แล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑
คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบกรรม มิใช่บุญเป็นอันมาก
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว ฯ
[๑๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ๑
ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑
คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบบุญ เป็นอันมาก
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทายกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว
ปฏิคาหก(ผู้รับของถวาย) ไม่จำต้อง รู้จักประมาณ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว ฯ
[๑๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปฏิคาหกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี
ทายก(ผู้ให้ทาน) ไม่จำต้องรู้จัก ประมาณ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ปรารภความเพียรในธรรมวินัย ที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว ฯ
[๒๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็น ทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว ฯ
[๒๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่ เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว ฯ
[๒๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ปรารภความเพียรในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อม อยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว ฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
[๒๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคูถแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น ฉันใดภพแม้เพียงเล็กน้อย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญโดยที่สุด แม้ชั่วกาล เพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย ฯ
[๒๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมูตร... น้ำลาย... หนอง... เลือด แม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ภพแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญโดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย ฯ |