(โดยย่อ)
ความปรากฏแห่ง โลกธาตุ ..ง้วนดิน เครือดิน กะบิดิน สะเก็ดดิน
1) ความปรากฏแห่งสัตว์ และง้วนดิน
เหล่าสัตว์จุติจากพรหมโลกชั้นอาภัสระ มีปิติเป็นภักษา มีรัศมี อยู่ในวิมานอันงดงาม สมัยนั้น ทั่วทั้ง จักรวาลเป็นน้ำทั้งนั้น มึดมน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว ยังไม่ปรากฎ ครั้งล่วงเลยมา เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ สัตว์ใช้นิ้วช้อนชิม แล้วเกิดความอยาก
2) ความปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
รัศมีสัตว์หายไป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ปรากฎ โลกนี้จึงได้กลับฟื้นขึ้นอีก
3) ความปรากฏแห่งสะเก็ดดิน
ง้วนดินหายไป สะเก็ดดินปรากฎ เกิดความต่างของผิวพรรณ เกิดการถือตัว
4) ความปรากฏแห่งเครือดิน
สะเกิดดินหายไป เครือดินปรากฎ เมื่อเครือดินหายไป สัตว์ต่างโหยหาด้วยความเสียดาย เกิดความทุกข์
5) ความปรากฏแห่งข้าวสาลีในที่ที่ไม่ต้องไถ
เมื่อเครือดินหายไป ข้าวสาลีก็ปรากฎ สัตว์จึงบริโภคข้าวสาลี
6) ความปรากฏแห่งเพศหญิงและเพศชาย
นานแสนนานสัตว์ มีอวัยวะเพศต่างกัน เกิดเพศหญิง เพศชาย ต่างเพ่งมองซึ่งกันและกัน จึงเกิดความ กำหนัด จนเสพเมถุน สัตว์อื่นที่ไม่ชอบจึงขว้างฝุ่นใส่ กล่าวว่า คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย
7) การประพฤติเมถุนธรรม
ต่อมาสัตว์ที่พอใจการเสพเมถุน ต่างสร้างมุงบัง เกิดการกักตุนข้าวสาลี
8) การแบ่งข้าวสาลี
สัตว์มานั่งปรับทุกข์กันถึงเรื่องราวในอดีตอันเกิดจาก อกุศลธรรม ต่อมา สัตว์แบ่ง พื้นที่ปลุกข้าวสาลี กัน เกิดการโขมยข้าวสาลี ทำร้ายกันด้วยฝ่ามือและก้อนดิน มีการพูดเท็จ การถืออาวุธจึงปรากฎ
9) มหาสมมตราช
เกิดมหาสมมุต กษัตริย์ และราชา ให้เป็นผู้ควบคุม ความประพฤติของสัตว์
10) แวดวงพราหมณ์
พวกที่ 1 เรียกว่า พราหมณ์ บำเพ็ญฌานในกระท่อม ไม่หุงหาอาหาร แต่เดินขออาหารในหมู่บ้าน
พวกที่ 2 เรียกว่า ฌายกา บำเพ็ญฌาน อาศัยกระท่อมในป่า ไม่หุงหาอาหาร แต่เดินขอ อาหารใน หมู่บ้าน)
พวกที่ 3 เรียกว่า อัชฌายกา เข้าฌานไม่ได้ ไม่บำเพ็ญฌาน อาศัยกระท่อมในป่า เป็นผู้ทำคัมภีร์)
11) แวดวงแพศย์
เกิดวรรณะแพศย์ ใช้ชื่อว่า เวสสา บางพวกเสพเมถุน บางพวกไม่เสพ ยังทำงานตาม ปกติ
12) เรื่องการประพฤติทุจริต เป็นต้น
แม้กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศุทร หรือสมณะ หากเป็นผู้ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำตามความเห็นผิด หลังจากตายแล้ว จะไปเกิดใน อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
|