พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๔๔
สัญญาสูตรที่ ๑
[๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญา ๗ ประการนี้ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
๗ ประการเป็นไฉน คือ
(๑) อสุภสัญญา ๑
(๒) มรณสัญญา ๑
(๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑
(๔) สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑
(๕) อนิจจสัญญา ๑
(๖) อนิจเจทุกขสัญญา ๑
(๗) ทุกเขอนัตตสัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญา ๗ ประการนี้แล อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ฯ
สัญญาสูตรที่ ๒
[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญา ๗ ประการนี้ อันภิกษุเจริญแล้วกระทำ ให้มากแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
๗ ประการเป็นไฉน คือ
(๑) อสุภสัญญา ๑
(๒) มรณสัญญา ๑
(๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑
(๔) สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑
(๕) อนิจจสัญญา ๑
(๖) อนิจเจทุกขสัญญา ๑
(๗)
ทุกเขอนัตตสัญญา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า อสุภสัญญา(๑) อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำ ให้มาก ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอสุภสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการร่วมเมถุนธรรม ไม่ยื่นไปรับการร่วม เมถุนธรรม อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่หรือ เส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอบรมแล้ว ด้วยอสุภสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมไหลไปในการร่วมเมถุนธรรม หรือความเป็นของไม่ปฏิกูลตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุ พึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อสุภสัญญาอันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและ เบื้องปลายของเราก็ไม่มี ผลแห่งภาวนาของเราไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้อง เป็นผู้รู้ทั่วถึงในอสุภสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอสุภสัญญาอยู่ โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับ จากการร่วมเมถุนธรรม ไม่ยื่นไปรับการ ร่วมเมถุนธรรม อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้น ดังนี้ว่า อสุภสัญญาอันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้รู้ทั่วถึงใน อสุภสัญญา นั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสุภสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสัญญา(๒) อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว ย่อมมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัย อะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยมรณสัญญาอยู่โดยมาก จิต ย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิตไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต อุเบกขา หรือความ เป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ ลงใน ไฟ ย่อมหดงอเข้าหากันไม่คลี่ออกฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันไม่อบรมแล้ว ด้วยมรณสัญญาอยู่โดยมาก จิต ย่อมไหลไปในความรักชีวิต หรือความเป็นของไม่ปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึง ทราบ ข้อนั้นดังนี้ว่า มรณสัญญาอันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้น และ เบื้องปลาย ของเรา ก็ไม่มีผลแห่งภาวนาของเรายังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้นภิกษุนั้น จึงต้องเป็นผู้รู้ ทั่วถึงในมรณสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยมรณสัญญาอยู่โดยมาก จิต ย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิต ไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต อุเบกขา หรือ ความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้น ดังนี้ว่า มรณสัญญา อันเรา เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนา ของเรา ถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้นภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ทั่วถึงในมรณสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ ว่า มรณสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะมีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาเรปฏิกูล (๓) สัญญาอันภิกษุ เจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าว แล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอาหาเรปฏิกูลสัญญาอยู่ โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับถอยกลับจากตัณหาในรส ไม่ยื่นไปรับตัณหาในรส อุเบกขา หรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากันไม่คลี่ออก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอาหาเรปฏิกูลสัญญา อยู่ โดยมาก จิตย่อมไหลไปในตัณหาในรส หรือความเป็นของไม่ปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุ พึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันเราไม่ได้เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้ง เบื้องต้น และเบื้องปลายของเราไม่มี ผลแห่งภาวนาของเรายังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึง ในอาหาเรปฏิกูลสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอาหาเรปฏิกูลสัญญา อยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากตัณหาในรส ไม่ยื่นไปรับ ตัณหาในรส อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้น ดังนี้ว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ทั่วถึงใน อาหาเรปฏิกูลสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาเรปฏิกูลสัญญา อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะ อาศัย ข้อนี้ ฯ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัพพโลเกอนภิรตสัญญา(๔) อันภิกษุ เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก อานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยสัพพโลเกอนภิรตสัญญา อยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากความวิจิตรแห่งโลก ไม่ยื่น ไปรับความวิจิตรแห่งโลกอุเบกขา หรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือน ขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันไม่อบรมแล้ว ด้วยสัพพโลเกอนภิรต สัญญา อยู่โดยมาก จิตย่อมไหลไปในความวิจิตรแห่งโลก หรือความเป็นของ ไม่ปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเรา ไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายของเราก็ไม่มี ผลแห่งภาวนา ของเรายังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึงใน สัพพโลเกอนภิรต สัญญา นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยสัพพโลเกอนภิรต สัญญา อยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากความวิจิตรแห่งโลก ไม่ยื่นไปรับ ความวิจิตรแห่งโลก อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบ ข้อนั้นดังนี้ว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้ง เบื้องต้น และ เบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว
เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้น
จึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในสัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัย ข้อนี้ ฯ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญา (๕) อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอนิจจสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อม หวลกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นไปรับในลาภสักการะ และความสรรเสริญ อุเบกขา หรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอนิจจสัญญา อยู่โดยมาก จิต ย่อมไหลไปในลาภสักการะ และความสรรเสริญ หรือความเป็นของไม่ปฏิกูล ย่อมตั้ง อยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อนิจจสัญญา อันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษ ทั้งเบื้องต้น เบื้องปลายของเรา ไม่มีผลแห่งภาวนาของเรา ยังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอนิจจสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอนิจจสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับงอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นไปรับลาภ สักการะและความสรรเสริญ อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูล ย่อมตั้งอยู่ไซร้ ภิกษุพึงทราบ ข้อนั้นดังนี้ว่า อนิจจสัญญาอันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอนิจจสัญญา นั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มี
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจเจทุกขสัญญา(๖) อันภิกษุเจริญ แล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วย อนิจเจทุกขสัญญาอยู่โดยมาก ภยสัญญา (ความสำคัญเป็นภัย) อย่างแรงกล้า ในความเฉื่อยชา ในความเกียจคร้าน ในความท้อถอย ในความประมาท ในการไม่ประกอบ ความเพียร ในการไม่พิจารณา ย่อมปรากฏ เปรียบเหมือนความสำคัญ ว่าเป็นภัย ย่อมปรากฏในเมื่อเพชฌฆาต เงื้อดาบขึ้น ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอนิจเจทุกขสัญญา อยู่ โดยมาก ภยสัญญาอย่างแรงกล้าในความเฉื่อยชา ในความเกียจคร้าน ในความ ท้อถอย ในความประมาท ในการไม่ประกอบความเพียร ในการไม่พิจารณา ย่อมไม่ ปรากฏ เปรียบเหมือนความสำคัญว่าเป็นภัย ย่อมไม่ปรากฏในเมื่อเพชฌฆาต เงื้อดาบขึ้นฉะนั้น ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อนิจเจทุกขสัญญาอันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษ ทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายของเราไม่มี ผลแห่งภาวนาของเรายังไม่ถึง ที่เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึง ในอนิจเจทุกขสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยอนิจเจทุกขสัญญา อยู่โดยมาก ภยสัญญา อย่างแรงกล้าในความเฉื่อยชา ในความเกียจคร้าน ในความ ท้อถอย ในความประมาท ในการไม่ประกอบความเพียร ในการไม่พิจารณา ย่อมปรากฏ เหมือนความสำคัญว่าเป็นภัย ย่อมปรากฏในเมื่อเพชฌฆาตเงื้อดาบขึ้น ฉะนั้นไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า อนิจเจทุกขสัญญา อันเราเจริญแล้ว คุณวิเศษ ทั้งเบื้องต้นเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้น จึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในอนิจเจทุกขสัญญานั้น ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจเจทุกขสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมี ผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะ อาศัยข้อนี้ ฯ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกเขอนัตตสัญญา(๗) อันภิกษุ เจริญแล้ว กระทำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยทุกเขอนัตตสัญญาอยู่โดย มาก ย่อมมีใจปราศจากทิฐิว่าเราตัณหาว่าของเรา และมานะทั้งในร่างกายที่มีใจครองนี้ และสรรพนิมิตในภายนอกเสียได้ ก้าวล่วงกิเลส ๓ ประการ สงบระงับ หลุดพ้นได้ เป็นอย่างดี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยทุกเขอนัตตสัญญาอยู่ โดยมาก ใจย่อมไม่ปราศจากทิฐิว่าเรา ตัณหาว่าของเรา และมานะทั้งในร่างกายที่มีใจ ครองนี้ และสรรพนิมิตในภายนอก ไม่ก้าวล่วงกิเลส ๓ ประการ ไม่สงบระงับ ยังไม่ หลุดพ้น ด้วยดีไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า ทุกเขอนัตตสัญญาอันเราไม่เจริญแล้ว คุณวิเศษทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายของเราก็ไม่มี ผลแห่งภาวนาของเรายังไม่ถึงที่ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึงในทุกเขอนัตตสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว ด้วยทุกเขอนัตตสัญญา อยู่โดยมาก ย่อมมีใจปราศจากทิฐิว่าเรา ตัณหาว่าของเรา และมานะทั้งในร่างกาย ที่มีใจครองนี้ และสรรพนิมิตในภายนอกเสียได้ ก้าวล่วงกิเลส ๓ ประการ สงบระงับ หลุดพ้นได้เป็นอย่างดีไซร้ ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า ทุกเขอนัตตสัญญาอันเรา เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มากหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะ เป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลายสัญญา ๗ประการนี้แล อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ฯ
จบสูตรที่ ๖
|