พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑ - ๒๑
นิวรณ์ ๕ วรรคที่ ๒
นิวรณ์ ๕ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้ กามฉันทะ (ความติดใจในกาม) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกามฉันทะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนศุภนิมิต (นิมิตดี ลางดี) ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจศุภนิมิต โดยไม่แยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์
[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะเป็น เหตุให้ พยาบาท (ความไม่พอใจ ความแค้น) ที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้น หรือพยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนปฏิฆนิมิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจ ปฏิฆนิมิต โดยไม่แยบคาย พยาบาท ที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และ พยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ เจริญไพบูลย์
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ ถีนมิทธะ (ท้อแท้ หดหู่ใจ) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล มีจิตหดหู่ถีนมิทธะ ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรืออุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่สงบแห่งใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ บุคคล มีจิตไม่สงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอุทธัจจ กุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความเจริญไพบูลย์ เหมือนการใส่ใจ โดยไม่แยบคาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ บุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้น แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์
----------------------------------------------------------------------------------------------------
นิวรณ์ ๕ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้น
[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ กามฉันทะ ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล ย่อมละได้ เหมือนอศุภนิมิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจ อศุภนิมิต โดย แยบคาย กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคล ย่อมละได้
[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ พยาบาท ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นหรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละ ได้ เหมือนเมตตาเจโตวิมุติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจ เมตตาเจโตวิมุติ โดยแยบคาย พยาบาทที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้
[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่จะเป็น เหตุให้ ถีนมิทธะ ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละ ได้ เหมือนความริเริ่มความพากเพียร ความบากบั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ปรารภ ความเพียรแล้ว ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้
[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะเป็น เหตุให้ อุทธัจจกุกกุจจะ ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความสงบแห่งใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิต สงบแล้ว อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และอุทธัจจ กุกกุจจะ ที่เกิดขึ้น แล้ว อันบุคคลย่อมละได้
[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะเป็น เหตุให้ วิจิกิจฉา ที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือ วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วอันบุคคลย่อมละ ได้ เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจ โดยแยบคาย วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้
จบวรรคที่ ๒
|