พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๑๒๖๓-๑๔๓๙ หน้าที่ ๕๒-๕๙.
๒. กฬารขัตติยสูตร
[๑๐๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล กฬารขัตติยภิกษุ เข้าไปหาท่าน พระสารีบุตร ถึงที่อยู่ แล้วได้ปราศรัยกับท่าน ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว จึงนั่งณที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตร ว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร โมลิยผัคคุณ ภิกษุ ได้ลาสิกขาเวียนมาทางฝ่ายต่ำ เสียแล้ว
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านโมลิยผัคคุณะนั้น คงไม่ได้ความพอใจใน พระธรรมวินัยนี้เป็นแน่
ก. ถ้าเช่นนั้น ท่านพระสารีบุตรคงได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้กระมัง
สา. ท่านผู้มีอายุ ผมไม่มีความสงสัยเลย
ก. ท่านผู้มีอายุ ก็ต่อไปเล่า ท่านไม่สงสัยหรือ
สา. ท่านผู้มีอายุ ถึงต่อไปผมก็ไม่สงสัยเลย
(กฬารขัตติยภิกษุ ฟ้องพระผู้มีพระภาคว่าอวดอ้าง)
[๑๐๕] ลำดับนั้น กฬารขัตติยภิกษุลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรอวดอ้างพระอรหัตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้ไม่มี
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งว่า มานี่แน่ะภิกษุ เธอจงไป เรียก สารีบุตรมาตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งเรียกหาท่าน
ภิกษุนั้นรับพระพุทธพจน์แล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่อยู่ แล้วเรียน ต่อท่านว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร พระศาสดารับสั่งเรียกหาท่าน
ท่านพระสารีบุตรรับคำของภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
(พระผู้มีพระภาค ตรัสถามพระสารบุตร จริงหรือ)
[๑๐๖] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า ดูกรสารีบุตร เขาว่าเธออวดอ้าง อรหัตผล ว่าเรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ไม่มี ดังนี้ จริงหรือ
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์หาได้กล่าว เนื้อความตามบท ตามพยัญชนะเช่นนี้ไม่
ภ. ดูกรสารีบุตร กุลบุตรย่อมอวดอ้างอรหัตผลโดยปริยายอย่างใด อย่างหนึ่ง เมื่อเป็น เช่นนั้น บุคคลทั้งหลายก็ต้องเห็นอรหัตผล ที่อวดอ้างไปแล้ว โดยความเป็น อันอวดอ้าง
สา. พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระองค์ก็ได้กราบทูลไว้อย่างนี้มิใช่หรือ ว่าข้าพระองค์หา ได้กล่าวเนื้อความ ตามบท ตามพยัญชนะ เช่นนี้ไม่
(พระผู้มีพระภาค ทดสอบความรู้พระสารีบุตรถึงปัจจัย อันเป็นเหตุตาม
สายปฎิจจ)
คำถามที่ ๑ (ก็อรหัตผลมีอะไรเป็นเหตุ...เพราะรู้ว่าปัจจัยแห่งชาติสิ้นแล้ว )
ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ท่านรู้เห็นอย่างไรจึง อวดอ้างอรหัตผลว่า เราย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้ไม่มี เมื่อถูกถามอย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์ อย่างไร ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่มี เพราะรู้ได้ว่า เมื่อปัจจัยแห่งชาติสิ้นแล้ว เพราะปัจจัย อันเป็นต้นเหตุ สิ้นไป ชาติจึงสิ้นไป พระพุทธเจ้าข้า เมื่อข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้ ก็พึงพยากรณ์ อย่างนี้
คำถามที่ ๒ (ก็ชาติมีอะไรเป็นเหตุ ... มีภพเป็นเหตุ)
[๑๐๗] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ชาติมีอะไร เป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์ อย่างไร ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพ เป็นสมุทัย มีภพเป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด
คำถามที่ ๒ (ก็ภพมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอุปาทานเป็นเหตุ)
[๑๐๘] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ภพเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถาม เช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ภพมีอุปาทานเป็นเหตุ มีอุปาทานเป็นสมุทัย มีอุปาทานเป็นกำเนิด มีอุปาทานเป็นแดนเกิด ฯ
คำถามที่ ๓ (ก็อุปาทานมีอะไรเป็นเหตุ ... มีตัณหาเป็นเหตุ)
[๑๐๙] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็อุปาทานเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถาม เช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าเขาถามข้าพระองค์ เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า อุปาทาน มีตัณหา เป็นเหตุ มีตัณหา เป็นสมุทัย มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด
คำถามที่ ๔ (ก็ตัณหามีอะไรเป็นเหตุ ... มีเวทนาเป็นเหตุ)
[๑๑๐] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ตัณหาเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดเมื่อถูกถาม เช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร ฯ
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ตัณหามี เวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด
คำถามที่ ๕ (ก็เวทนามีอะไรเป็นเหตุ ... มีผัสสะเป็นเหตุ)
[๑๑๑] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็เวทนาเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิดเมื่อถูกถาม เช่นนี้ เธอพึง พยากรณ์อย่างไร ฯ
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า เวทนา มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด
คำถามที่ ๕ (รู้เห็นอย่างไรเวทนา ๓ จึงไม่ปรากฎ.. สุข ทุกข์ อทุกขมสุขเป็นของ ไม่เที่ยง ความเพลินในเวทนาจึงไม่มี จึงไม่ปรากฎ)
[๑๑๒] ดูกรสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ท่านรู้เห็น อย่างไร ความเพลิดเพลินในเวทนาจึงไม่ปรากฏ เมื่อถูกถามอย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์ อย่างไร ฯ
ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์ อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า เวทนา ๓ เหล่านี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่ เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความเพลิดเพลินในเวทนา จึงไม่ปรากฏ
[๑๑๓] ถูกละๆ สารีบุตร ตามที่เธอพยากรณ์ความข้อนั้นโดยย่อ ก็ได้ ใจความ ดังนี้ว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น
คำถามที่ ๖ (ความหลุดพ้นเช่นไร จึงอ้างได้ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
....อาสวะทั้งหลายย่อมไม่ครอบงำผู้มีสติ ข้าพเจ้าก็เป็นผู้มีสติ เพราะอุปาทานสิ้นไป)
ดูกรสารีบุตรถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร เพราะความหลุดพ้น เช่นไร ท่านจึงอวดอ้างอรหัตผลว่า ท่านรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี
เมื่อถูกถาม อย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร ฯ พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าเขาถาม ข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า อาสวะทั้งหลาย ย่อมไม่ ครอบงำท่านผู้มีสติอยู่อย่างใด ข้าพเจ้าก็เป็นผู้มีสติอยู่อย่างนั้น เพราะความ หลุดพ้นใน ภายใน เพราะอุปาทาน ทั้งปวงสิ้นไป ทั้งข้าพเจ้าก็มิได้ดูหมิ่น ตนเองด้วย พระพุทธเจ้าข้า เมื่อถูกถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้
[๑๑๔] ถูกละๆ สารีบุตร ตามที่เธอพยากรณ์ความข้อนั้นโดยย่อ ก็ได้ใจความ ดังนี้ว่า อาสวะเหล่าใดอันพระสมณะกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ในอาสวะ เหล่านั้นว่า อาสวะเหล่านั้น ข้าพเจ้าละได้แล้วหรือยัง
ครั้นพระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตตรัสดังนี้แล้ว เสด็จลุกขึ้นจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าไป ยัง พระวิหาร
|