เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  การตรวจดูธรรม (วีมังสกสูตร) การตรวจสอบความเป็นพระพุทธเจ้า การดูวาระจิตของตถาคต 1072
 
   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 


ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๔๐๗

การตรวจดูธรรม (วีมังสกสูตร)
(การตรวจสอบความเป็นพระพุทธเจ้า/การดูวาระจิตของตถาคต)

        [๕๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี.

     ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.

        [๕๓๖] พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา เมื่อไม่รู้วาระจิตของผู้อื่น พึงทำการตรวจดูในตถาคต เพื่อทราบว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่.

     ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลาย ของพวกข้า พระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นต้นเค้า มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาค เป็นที่พำนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่ง พระภาษิต นั้น จงแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มี พระภาคแล้ว จักทรงจำไว้.

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงฟังจงจำไว้ในใจ ให้ดีเราจักกล่าว.

     ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว.

        [๕๓๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอันภิกษุผู้พิจารณา เมื่อไม่รู้วาระจิตของผู้อื่น พึงตรวจดูในธรรม ๒ ประการ คือ

(๑) ธรรมอันเศร้างหมองจาก ตา(จักษุ) และหู(โสต) ของตถาคตมีอยู่หรือไม่ (มิได้มี)
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ(ตา) และ โสต(หู) ว่าธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ และโสต อันเศร้าหมองของตถาคต มีอยู่หรือไม่. เมื่อตรวจดูตถาคตนั้นก็จะรู้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วย จักษุ และโสต อันเศร้าหมองของ ตถาคต มิได้มี เมื่อใด ตรวจดูตถาคตนั้นรู้ อย่างนี้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ และโสต อันเศร้าหมอง ของตถาคต มิได้มี

(๒) ธรรมดำ (อกุศล) ธรรมขาว(กุศล) ของตถาคตมีอยู่หรือไม่ (มิได้มี)
แต่นั้นก็ตรวจดูตถาคตนั้นต่อไปว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสต อันเจือกัน [ดำบ้าง ขาวบ้างคือเป็นอกุศลบ้าง กุศลบ้าง] ของตถาคต มีอยู่หรือไม่. เมื่อตรวจดู ตถาคตนั้น ก็จะรู้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ และโสตอันเจือกันของ ตถาคต มิได้มี เมื่อใด ตรวจดูตถาคตนั้นรู้อย่างนี้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสต อันเจือกัน (ธรรมดำ-ธรรมขาว) ของตถาคต มิได้มี

(๓) ธรรมอันผ่องแผ้ว ของตถาคตมีอยู่หรือไม่ (มีอยู่)
แต่นั้นก็ตรวจดูตถาคตนั้นต่อไปว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ และโสต อันผ่องแผ้ว ของ ตถาคต มีอยู่หรือไม่ เมื่อตรวจดูตถาคตนั้นก็จะรู้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและ โสต อันผ่องแผ้วของตถาคต มีอยู่ เมื่อใด ตรวจดูตถาคตนั้นรู้อย่างนี้ว่าธรรมที่พึงรู้ แจ้ง ด้วย จักษุและโสต อันผ่องแผ้ว ของตถาคต มีอยู่

ตรวจให้ยิ่งขึ้นไปอีก
แต่นั้น ก็ตรวจดูตถาคตนั้นต่อไปว่า พระศาสดาผู้มีอายุนี้ ถึงพร้อมกุศลธรรมนี้ สิ้นกาลนาน หรือว่าพระศาสดาผู้มีอายุนี้ ถึงพร้อมสิ้นกาลนิดหน่อย. เมื่อตรวจดู ตถาคตนั้นก็จะรู้ว่า พระศาสดาผู้มีอายุนี้ ถึงพร้อมกุศลธรรมนี้สิ้นกาลนาน มิใช่ว่า พระศาสดาผู้มีอายุนี้ ถึงพร้อมสิ้นกาลนิดหน่อย.

เมื่อใด ตรวจดูตถาคตนั้นรู้อย่างนี้ว่า พระศาสดาผู้มีอายุนี้ถึงพร้อมกุศลธรรมนี้ สิ้นกาลนาน มิใช่ว่า พระศาสดาผู้มีอายุนี้ ถึงพร้อมสิ้นกาลนิดหน่อย

แต่นั้นก็ตรวจดูตถาคตต่อไปว่า ภิกษุผู้มีอายุนี้ถึงความปรากฏ ถึงความมียศ แล้ว โทษบางชนิดในโลกนี้ของภิกษุนั้น มีอยู่บ้างหรือไม่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ยังไม่มีโทษบางชนิดในโลกนี้ ชั่วเวลาที่ตนไม่ถึงความ ปรากฏ ถึงความมียศ แต่เมื่อใด ภิกษุถึงความปรากฏ ถึงความมียศแล้ว เมื่อนั้น จึงมีโทษบางชนิดในโลกนี้.

ภิกษุผู้พิจารณาเมื่อตรวจดูตถาคตนั้นก็รู้ว่า ภิกษุผู้มีอายุนี้ถึงความปรากฏ ถึงความ มียศแล้ว มิได้มีโทษบางชนิดในโลกนี้เมื่อใด ตรวจดูตถาคตนั้นก็รู้อย่างนี้ว่า ภิกษุผู้มีอายุนี้ถึงความปรากฏ ถึงความมียศแล้ว มิได้มีโทษบางชนิดในโลกนี้

แต่นั้น ก็ตรวจดูตถาคตต่อไปว่า ผู้มีอายุนี้ ไม่ประกอบด้วยภัย ท่านผู้มีอายุนี้ หาประกอบด้วยภัยไม่ เพราะมีราคะไปปราศแล้ว ไม่เสพกามทั้งหลาย เพราะสิ้นราคะ เมื่อตรวจดูตถาคตนั้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ ประกอบด้วยความไม่มีภัย หาเป็นผู้ประกอบด้วยภัยไม่ เพราะมีราคะไปปราศแล้ว ไม่เสพกามทั้งหลาย เพราะสิ้นราคะ

ดูกรภิกษุทั้งหลายหากชนเหล่าอื่นพึงถามภิกษุนั้นว่า ก็อาการกิริยาที่ส่อแสดง ของ ท่านผู้มีอายุเป็นอย่างไร ที่เป็นเหตุให้ท่านกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุนี้ ไม่ประกอบด้วยภัย ท่านผู้มีอายุนี้ หาประกอบด้วยภัยไม่ เพราะมีราคะไปปราศแล้ว ไม่เสพกามทั้งหลาย เพราะสิ้นราคะ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ก็จริงอย่าง นั้น ท่านผู้มีอายุนี้ บางทีก็อยู่ในหมู่ บางทีก็อยู่ผู้เดียวในหมู่นั้น พวกที่ดำเนินดีก็มี พวกที่สั่งสอนคณะก็มี พวกที่ดำเนินชั่วก็มี บางพวกที่ติดอยู่ในอามิสทั้งหลาย ในโลกนี้ ก็มี บางพวกที่ไม่ติดเพราะอามิสในโลกนี้ก็มี ท่านผู้มีอายุนี้ หาดูหมิ่นบุคคล นั้น ด้วยเหตุนั้นไม่.

เราได้สดับรับข้อนี้มาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า เราเป็นผู้ไม่ประกอบด้วย ภัย เราหาเป็นผู้ประกอบด้วยภัยไม่ เพราะมีราคะไปปราศแล้ว ไม่เสพกามทั้งหลาย เพราะสิ้นราคะ.

การสอบถาม

        [๕๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในพวกภิกษุผู้พิจารณานั้น ภิกษุผู้พิจารณารูปหนึ่ง ควรสอบถามตถาคตต่อไปว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ และโสตอันเศร้าหมองของ ตถาคต มีอยู่หรือไม่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเมื่อจะพยากรณ์ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย จักษุและโสตอันเศร้าหมองของตถาคต มิได้มี.

ภ. ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสตอันเจือกัน ของพระตถาคต มีอยู่หรือไม่.
พ. ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสตอันเจือกันของตถาคต มิได้มี.
ภ. ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสตที่ผ่องแผ้วของตถาคต มีอยู่หรือไม่.
พ. ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุและโสตที่ผ่องแผ้วของตถาคต มีอยู่

เราเป็นผู้มีธรรมที่ผ่องแผ้วนั้นเป็นทาง มีธรรมที่ผ่องแผ้วนั้นเป็นโคจร เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ใช่เป็นผู้มีตัณหา.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกควรจะเข้าหาศาสดาผู้มีวาทะอย่างนี้ เพื่อฟังธรรม ศาสดาย่อมแสดง ธรรมอันยิ่งๆ อันประณีตๆ อันเปรียบด้วยส่วนดำ ส่วนขาว แก่สาวกนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายศาสดาย่อมแสดงธรรมอันยิ่งๆ อันประณีตๆ อันเปรียบด้วยส่วนดำ ส่วนขาวแก่ภิกษุ ด้วยประการใดๆ ภิกษุนั้น รู้ยิ่งธรรมบางอย่างในธรรมนั้น ด้วยประการนั้นๆ ย่อมถึงความตกลงใจในธรรมทั้งหลาย ย่อมเลื่อมใสในศาสดาว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากชนพวกอื่นพึงถามภิกษุนั้นอีกอย่างนี้ว่า ก็อาการกิริยาที่ ส่อแสดงของท่านผู้มีอายุเป็นอย่างไร ที่เป็นเหตุให้ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว.

ภิกษุนั้นเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้มีอายุ  เราเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อจะฟังธรรม พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงแสดงธรรมอันยิ่งๆ อันประณีตๆ อันเปรียบด้วยส่วนดำส่วนขาวแก่เรานั้น

ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงแสดงธรรมอันยิ่งๆ อันประณีตๆ อันเปรียบ ด้วยส่วนดำส่วนขาวแก่เราด้วยประการใดๆ เรารู้ยิ่งธรรมบางอย่างในธรรมนั้น ด้วย ประการนั้นๆ ถึงแล้วซึ่งความตกลงใจในธรรมทั้งหลาย เลื่อมใสแล้วในพระศาสดาว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว.

        [๕๓๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาของบุคคลใด บุคคลหนึ่งตั้งมั่นแล้วในพระตถาคตมีมูล มีที่อาศัย ด้วยอาการเหล่านี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธานี้ เรากล่าวว่า มีเหตุ มีทัสสนะ [โสดาปัตติมรรค] เป็นมูลมั่นคง อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกไม่พึงให้กวัดแกว่งได้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การตรวจดูธรรมในตถาคต ย่อมมีอย่างนี้แล ก็แหละตถาคตอันภิกษุ ผู้พิจารณาตรวจดูดีแล้วโดยธรรมเป็นอย่างนี้ ก็แหละตถาคตอันภิกษุผู้พิจารณา ตรวจดูดีแล้วโดยธรรมเป็นอย่างนี้.

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.

จบ วีมังสกสูตรที่ ๗



 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์