พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐
สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๐
ปริพาชกนามว่า สุภัททะ สาวกองค์สุดท้าย (ก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน)
[๑๓๘] ก็สมัยนั้น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา สุภัททปริพาชก ได้สดับว่า พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยาม แห่งราตรี ในวันนี้แหละ สุภัททปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ก็เราสดับถ้อยคำของพวก ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจัก ปรินิพพานใน ปัจฉิมยาม แห่งราตรีในวันนี้แหละ
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เราเลื่อมใสในพระสมณ โคดม อย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา โดยประการที่เรา จะพึงละ ธรรมอันเป็นที่สงสัย นี้ได้ ฯ
ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกเข้าไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักของพวกเจ้ามัลละ เข้าไปหาท่านพระอานนท์
ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพวก ปริพาชก ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจักปรินิพพาน ในปัจฉิมยาม แห่งราตรีในวันนี้แหละ
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าก็มีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใส ในพระสมณโคดม อย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรม แก่ข้าพเจ้า โดยประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธรรม อันเป็นที่สงสัยนี้ได้
ข้าแต่ท่านอานนท์ ขอโอกาส เถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโคดม เมื่อสุภัททปริพาชก กล่าวอย่างนี้ แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า อย่าเลยสุภัททะ ท่านอย่า เบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว แม้ครั้งที่สองสุภัทท ปริพาชก..
แม้ครั้งที่สาม สุภัททปริพาชกก็ ได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ ข้าพเจ้า ได้สดับถ้อยคำ ของพวกปริพาชก ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว พระสมณ โคดมจักปรินิพพาน ในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละอนึ่ง ธรรมเป็นที่ สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้น แก่ข้าพเจ้าก็มีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใสใน พระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยประการที่ข้าพเจ้า จะพึงละ ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ขอโอกาสเถิดข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโคดม แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ ก็ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชก ว่า อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาค ทรงลำบากแล้ว
พระผู้มีพระภาค ทรงได้ยินถ้อยคำท่านพระอานนท์เจรจากับสุภัททปริพาชก
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าห้าม สุภัททะ สุภัททะจงได้เฝ้าตถาคต สุภัททะจักถามปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียนอนึ่ง เราอัน สุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใดแก่สุภัททะนั้น สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อ ความนั้นโดยฉับพลันทีเดียว ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้บอกสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิดสุภัททะ พระผู้มีพระภาค ทรงทำโอกาสแก่ท่าน สุภัททปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใด เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มียศเป็นเจ้าลัทธิชนเป็นอันมาก
สมมติว่าเป็นคนดี คือบูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตาม ปฏิญญา ของตนๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้
(สุภัททะ ทููลถามพระผู้มีพระภาคว่า สมณะพราหมณ์ที่เป็นคนดีมีชื่อเสียง ต่างบอก ว่าตนเองได้ตรัสรู้แล้วด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สมณะคนไหนที่ตรัสรู้จริง)
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบ ด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
(พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อริยบุคคละที่ประกอบด้วยสมณะที่ ๑ คือ พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ คือ พระสกทาคามี สมณะที่ ๓ คือ พระอนาคามี และสมณะที่ ๔ คือ พระอรหันต์ จะไม่มีในศาสนาอื่น จะมีแต่สมณะในธรรมวินัยของตถาคตนี้เท่านั้น)
มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรค ประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น
มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจาก พระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ
[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี
แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศ แห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจาก สมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ
[๑๔๐]
เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว สุภัททปริพาชกได้กราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ พระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น เหมือน กัน
ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนัก ของพระผู้มีพระภาค ฯ พระผู้มี พระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน
เมื่อล่วงสี่เดือน
ภิกษุ ทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุ ก็แต่ว่า เรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้ ฯ สุภัททปริพาชก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทใน พระธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุไซร้
ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาสสี่ปี เมื่อล่วงสี่ปี ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้ บรรพชา ให้อุปสมบทเถิด ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ มารับสั่งว่า (ให้พระอานนท์บวชให้)
ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถิด ท่านพระอานนท์ทูล รับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคแล้ว สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะ ท่านพระอานนท์ว่า ดูกรท่านอานนท์ ผู้มีอายุเป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรง อภิเษก ด้วย อันเตวาสิกาภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ ในพระศาสนานี้
สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค ก็ท่านสุภัทท ปริพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์
ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตร ทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต โดยชอบ ด้วยปัญญา อันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้น แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
ท่านสุภัททะได้เป็นอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเป็นสักขิสาวก องค์สุดท้าย ของพระผู้มีพระภาค ฯ
|