(มิคชาลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๔)
เพื่อนสอง... (สาราคะ สัญโญคะ)
ลักษณะของการอยู่อย่างมีตัณหา(ความอยาก)เป็นเพื่อน
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมี เพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”
มิคชาละ ! รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความ กำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ แก่ภิกษุผู้ เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ
นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น
เมื่อนันทิมีอยู่ สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง/ราคะ/ความกำหนัด) ย่อมมี
เมื่อสาราคะมีอยู่ สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์) ย่อมมี
(นันทิ > สาราคะ > สัญโญคะ....ความเพลิน ที่เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ)
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่ง ความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง” (ในกรณีแห่งเสียง ทั้งหลายอันจะพึงได้ยินดีด้วยหู กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก รสทั้งหลาย อันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย และธรรมารมณ์ ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน)
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่า และป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลม จากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแลเป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ตัณหานั้น อันภิกษุ นั้น ยังละไม่ได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมี เพื่อนสอง” ดังนี้.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการ อยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า !”
มิคชาละ ! รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความ กำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบ มัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมาซึ่งรูป นั้น นั่นแหละ
นันทิ ย่อมดับ
เมื่อนันทิ ไม่มีอยู่
สาราคะย่อมไม่มี
เมื่อสาราคะไม่มีอยู่
สัญโญคะ ย่อมไม่มี
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจ แห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว” (ในกรณีแห่งเสียง ทั้งหลายอันจะพึงได้ยินดีด้วยหู กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก รสทั้งหลาย อันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย และธรรมารมณ์ ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน)
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของ พระราชา ทั้งหลาย ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ตาม ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น เราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว” ดังนี้ แล. |