เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ญาณ วัตถุ ๗๗ 117  
 
 
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หมวด ๖
ว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสในรูปของการปฏิบัติ หน้าที่ ๓๕๗

ญาณ วัตถุ ๗๗

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง ซึ่งญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง แก่พวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าวบัดนี้. ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ ญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? ญาณวัตถุ ๗๗ อย่างนั้น คือ

 (หมวด ๑)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะ ย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนา ฝ่ายอดีต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนาน
ฝ่ายอดีต เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนาน
ฝ่ายอนาคต เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนาน
ฝ่ายอนาคต เมื่อชาติไม่มีชรามรณะย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไป จางไป ดับไป เป็นธรรมดา

(หมวด ๒)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

(หมวด ๓)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไปเป็นธรรมดา

 (หมวด ๔)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปทาน
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อม ไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวด ๕)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไป จางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวด ๖)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไป จางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวด ๗)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อม ไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวด ๘)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อม ไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวด ๙)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่ม
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อม ไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา;

 (หมวด ๑๐)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่อสังขารทั้งหลายไม่มีวิญญาณ ย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
๔. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณ ย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
๖. ญาณ คือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่อสังขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

 (หมวดที่ ๑๑)
๑. ญาณ คือความรู้ว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย
๒. ญาณ คือความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี
๓. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีตเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย
๔. ญาณ คือความรู้ว่าแม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต เมื่ออวิชชาไม่มีสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มี
๕. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย
๖. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคตเมื่ออวิชชาไม่มี สังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มี
๗. ญาณ คือความรู้ว่า แม้ธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความสิ้นไปเสื่อมไปจางไปดับไป เป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้ เรียกว่า ญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง ดังนี้ แล.


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๕๕

ญาณวัตถุสูตรที่ ๒ (๗๗)

          [๑๒๖] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงญาณวัตถุ ๗๗ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังญาณวัตถุนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

          [๑๒๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๗๗ เป็นไฉน ญาณวัตถุ ๗๗ นั้น คือ

ความรู้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มีชราและมรณะจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณ ของชาตินั้น มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาลความรู้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่าธรรมฐิติญาณของภพนั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของอุปาทานนั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า ตัณหาเป็นปัจจัยอุปาทานจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาลความรู้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มีอุปาทานจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของตัณหานั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยตัณหาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่าเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มีตัณหาจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของเวทนานั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของผัสสะนั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลายความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่าเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่าเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของสฬายตนะนั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลายความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยสฬายตนะจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาลความรู้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี ๑
ความรู้ว่าเมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของนามรูปนั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาลความรู้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของวิญญาณนั้น มีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัยวิญญาณจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาลความรู้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่อสังขารไม่มีวิญญาณจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของสังขารนั้น มีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ความรู้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี ๑
แม้ในอดีตกาลความรู้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มีสังขารจึงไม่มี ๑
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี ๑
ความรู้ว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี ๑
ความรู้ว่า ธรรมฐิติญาณของอวิชชานั้นมีความสิ้น ความเสื่อม ความคลาย ความดับเป็นธรรมดา ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๗๗



 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์