พระมหาโกฏฐิตเถระ
เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔
พระมหาโกฏฐิตะ เป็นบุตรพราหมณ์ชื่ออัสสลายนะกับพราหมณีชื่อจันทวดี ในเมือง
สาวัตถี เดิมชื่อว่า “โกฎฐตะ” ตระกูลของท่านจัดว่าอยู่ในระดับมหาเศรษฐี ท่านจึงได้รับการ
เลี้ยงดูอย่างดี แต่บิดาของท่านมีทิฏฐิแรงกล้ายึดมั่นในลัทธิ ศาสนาพราหมณ์อย่างมั่นคง
เมื่อท่านเจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิ ศาสนาพราหมณ์จบไตรเพท
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เที่ยวจาริกเผยแผ่หลักธรรมคำสอน ไปตามคามนิคม ต่างๆทั้งในเมืองและชนบท ได้เสด็จถึงหมู่บ้านที่อัสสลายนพราหมณ์ ตั้งนิวาสสถาน อยู่ ได้ทรมานอัสสลายนพราหมณ์ จนละทิฏฐิมานะ และแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ปวารณาตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
ทิ้งพราหมณ์ ถือพุทธ
โกฏฐิตมาณพ เห็นบิดาหันมายอมรับนับถือพระรัตนตรัยก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นบ้าง
ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ยิงเกิดศรัทธามากขึ้น ถึงกับมีจิตน้อมไปในการออกบวช เพื่อปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงกราบทูลขอบวชต่อพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ ทรงมอบหมาย ให้พระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้พระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นพระอาจารย์
ในขณะที่ท่านกำลังโกนผมอยู่นั้น ท่านได้พิจารณา ในกรรมฐาน ไปเรื่อย ๆ พอผลัด เปลี่ยนผ้าสาฎกของคฤหัสถ์
ออกแล้วนุ่ง ห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
ในขณะนั้น พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ญาณ ๔ วิชชา ๓ และวิโมกข์ ๓
พระมหาโกฏฐิตะ นั้น แม้ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านก็ยังมีปกติฝักใฝ่ใน
การศึกษา ไม่ว่าท่านจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาหรือเข้าไปหาพระเถระรูปอื่น ๆ ท่านก็มักจะถามปัญหาในปฏิสัมภิทาอยู่เสมอ ๆ จนมีความเชี่ยวชาญแตกฉาน ในปฏิสัมภิทา เป็นพิเศษ
มีเรื่องปรากฏในมหาเวทัลลสูตรมัชฌิมนิกายว่าเป็นผู้แตกฉานเพราชอบถามปัญหา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์
พระมหาโกฏฐิตเถระได้ขอโอกาสกราบเรียนถามข้อข้องใจกับพระสารีบุตรเถระ ผู้เป็นพระ
อุปัชฌาย์ว่า
“ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ คนเช่นไร ที่เรียกว่าคนทุปัญญา ขอรับ ?”
“ดูก่อนมหาโกฏฐิติ คนทุปัญญา ก็คือ คนไม่มีปัญญา”
“เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า คนไม่มีปัญญา ขอรับ ?”
“คนไม่มีปัญญา ก็คือคนไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้ทำให้เกิดทุกข์ สิ่งนี้เป็น
ความดับทุกข์ และสิ่งนี้เป็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์ ส่วนคนอีกพวกหนึ่งที่รู้ ความจริงเหล่านี้
ท่านเรียกว่า คนมีปัญญา”
พระมหาโกฏฐิตเถระ ได้กราบเรียนถามต่อไปว่า:-
“ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น หมายความว่าอย่างไร ขอรับ ?”
“ดูก่อนมหาโกฏฐิติ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น ก็เพราะรู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์
บ้าง”
“ท่านขอรับ ปัญญากับวิญญาณนี้ รวมกันหรือแยกกัน ขอรับ ?”
“ดูก่อนมหาโกฏฐิติ ปัญญากับวิญญาณนี้ อยู่รวมกัน ไม่อาจแยกกันได้กล่าวคือ บุคคล
รู้ในสิ่งใดก็รู้สึกในสิ่งนั้น บุคคลรู้สึกในสิ่งใดก็รู้สิ่งนั้นเป็นต้น”
พระเถระทั้งสองนั้น ได้สนทนาธรรมในข้อสงสัยต่าง ๆ กันต่อไป พอสมควรแก่กาล
เวลาแล้ว พระมหาโกฏฐิตเถระ ได้กล่าวแสดงความชื่นชม ยินดีในปรีชาความรู้ของพระ
อุปัชฌาย์ (พระสารีบุตรเถระ) แล้วจึงกราบลากลับสู่ที่พักของตน
ด้วยเหตุแห่ง การฝักใฝ่ ในการศึกษา จนเป็นผู้เชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทาเป็นพิเศษนี้
พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง
ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔
ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
ปฏิสัมภิทา ๔
๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ
วิชชา ๓
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด
๓. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น
วิโมกข์ ๓
๑. สุญญตวิโมกข์ ความพ้นโดยเป็นสภาพว่าง
คือว่าจาก ราคะ โทสะ โมหะ
๒. อนิมิตรวิโมกข์ ความพ้นโดยหาเครื่องหมายมิได้เพราะ
ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องหมาย
๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ ความพ้นโดยหาที่ตั้งมิได้
คือไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นที่ตั้ง
ที่มา http://www.84000.org/one/1/39.html
|