พระมหาโมคคัลลานะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระมหาโมคคัลลานเถระ (บาลี: มหาโมคฺคลฺลาน) เป็นพระภิกษุอัครสาวกเบื้องซ้ายของ พระโคตมพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวก ผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก คู่กับ พระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ประวัติ
พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อโมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียก ท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกัน
สาเหตุที่ได้เป็นเอตทเมื่อนับถอยหลังไปด้วยระยะเวลา ได้หนึ่งอสงไขยกัปและอีก หนึ่งแสนกัปจากภัทรกัปปนี้ พระมหาโมคคัลลานะเถระ บังเกิดเป็น สิริวัฑฒกุฏมพี อยู่ในตระกูลคฤหบดีมหาศาล และได้เป็นสหายกับ สรทมาณพ (พระสารีบุตรเถระ) ในอดีตชาติ สรทมาณพนั้น คิดจะออกบรรพชาแสวงหาโมกขธรรมจึงไปชวน สิริวัฑฒกุฎุมพี ๆ ปฏิเสธว่าไม่สามารถออกบรรพชาได้ แล้วสรทมาณพออกไปบรรพชา เป็นดาบสพร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก ได้สำเร็จอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ประการ
ต่อมาได้กระทำอธิสักการบูชา แด่พระอโนมทัสสี พุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาไว้ ในที่เฉพาะพระพักต์เพื่อเป็นอัครสาวก เมื่อได้รับพุทธ พยากรณ์แล้ว พลันหวนนึกถึง สิริวัฑฒกุฎมพี ผู้เป็นสหายขึ้นได้ จึงรีบไปที่บ้านของสิริวัฒกุฎมพีแต่ผู้เดียว และได้ ชี้แจงให้ผู้เป็นสหายทราบ และให้ปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวก (สาวกเบื้องซ้าย) ในศาสนาของพระพุทธโคดม เช่นเดียวกับตน สิริวัฒกุฎมพีได้ฟัง ดังนั้นจึงให้ สรทดาบสไปนิมนต์พระ พระอโนมทัสสี พุทธเจ้า มาที่บ้าน และทำการถวาย มหาทานและเครื่องมหาสักการบูชามากมาย ตลอดเจ็ดวัน แล้วก็ประนมมือกราบทูล แทบพระบาทพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าว่า สรทดาบส ผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ ปรารถนาเป็นอัครสาวกของ พระบรมศาสดาพระองค์ใด ข้าพระองค์ขอได้เป็น ทุติยะ สาวกของศาสดาพระองค์นั้นด้วยเถิดพระเจ้าข้า พระอโนมทัสสีพระพุทธเจ้าทรง พิจารณาดูอนาคตกาลแล้ว ทรงเห็นว่าความปรารถนา ของสิริวัฒกุฏมพีจะสำเร็จ สมมโนรถ จึงทรงพยากรณ์ว่า เมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่ง อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป นับจากกัปนี้ไป เธอจะได้เป็นทุติย สาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
สิริวัฒกุฎพีรับฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจร่าเริงยินดีเป็นที่สุด ราวกับว่าความ ปรารถนานั้นจะสำเร็จในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ฉะนั้น ฝ่ายพระอโนมทัสสี พุทธเจ้า เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระวิหาร พร้อมด้วย พระภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่วันนั้นมาสิริวัฒกุฎมพี ได้กระทำกัลยาณกรรม อยู่เป็นประจำตลอดชีวิต ครั้นเขาสิ้นชีวิตแล้วขึ้นไปเกิดในกามาวจรเทวโลก ในวาระแห่งจิตที่ 2 และกลับมา เกิดเป็น มนุษย์อีกในชาติต่อมา และในสมัยพระโคดมพระพุทธเจ้านี้ เกิดมาเป็น โกลิตมาณพ เพื่อนของอุปปติสสมาณพ
เมื่ออุปติสสมาณพได้ไปพบพระอัสสชิในกรุงราชคฤห์ ได้ฟัง "พระคาถาเย ธัมมา" จากพระอัสสชิ ทำให้ได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุโสดาบัน อุปติสสมาณพ ได้นำคำสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตา เห็นธรรมเช่นดียวกัน ทั้งสองมาณพได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนาราม และได้ ทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้อุปสมบท เป็นภิกษุ โกลิตมาณพซึ่งอุปสมบท เป็นพระมหาโมคคัลลานะ บำเพ็ญความเพียรได้ 7 วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนอุปติสสมาณพซึ่งอุปสมบทเป็นพระสารีบุตรอุปสมบทได้ 15 วัน จึงสำเร็จพระอรหันต์
ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนมาฆะ ในคืนวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์ แก่จาตุรงคสันนิบาต จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เลิศกว่าผู้อื่น ในทางปัญญา พระมหา โมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย (ทุติยสาวก) เลิศกว่าผู้อื่นในทางฤทธิ์
การสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ
พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ 7 วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้าน กัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อ แก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำ ปาฏิหาริย์ ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญา อย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญา อย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
( หมายเหตุ ข้างต้นเป็นไปตามพระไตรปิฏกฉบับมหามกุฏและสยามรัฐ ซึ่งแปล สำนวนจาก บาลีฉบับสยามฯ ส่วน พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬา แปลสำนวนตาม บาลีสากล ซึ่งตรงตามบาลีลังกาและพม่า ได้เนื้อความว่า "เมื่อเธอมีสัญญา อยู่อย่างไร ความง่วงนั้น ย่อมครอบงำเธอได้ เธออย่าได้มนสิการถึงสัญญานั้น อย่าได้ทำสัญญานั้นให้มาก เป็นไปได้ที่เมื่อเธออยู่อย่างนั้นจะละความง่วงนั้นได้" .
สำหรับ บาลีจากพระไตรปิฎกบาลีฉบับต่างๆเป็นดังนี้ : "ตสฺมาติห, โมคฺคลฺลาน, ยถาสญฺญิสฺส เต วิหรโต ตํ มิทฺธํ โอกฺกมติ, ตํ สญฺญํ มา มนสากาสิ [มา มนสิกาสิ (สี.), มนสิ กเรยฺยาสิ (สฺยา.), มนสากาสิ (ก.)], ตํ สญฺญํ มา พหุลมกาสิ [ตํ สญฺญํ พหุลํ กเรยฺยาสิ (สฺยา.), ตํ สญฺญํ พหุลมกาสิ (ก.)]ฯ ฐานํ โข ปเนตํ, โมคฺคลฺลาน, วิชฺชติ ยํ เต เอวํ วิหรโต ตํ มิทฺธํ ปหีเยถ". )
1.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้ว ให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
2.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็น เหตุให้ละความง่วงได้
3.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ จะเป็น เหตุ ให้ละความง่วงได้
4.ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำ เหลียวดูทิศ ทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
5.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่าง ไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละ ความง่วงได้
6.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
7.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อม กัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยตั้งใจ ว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีก จะเป็นเหตุให้ละ ความ ง่วงได้
พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับ จนที่สุดถ้ายัง ไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ
พระพุทธเจ้าได้ประทานพระโอวาท 3 ข้อ
โมคคัลลานะ เธอจงจำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุล ด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้อนรับ เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน เพราะถ้า เถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่าน ไม่สำรวม และจิตก็จะห่าง จากสมาธิ
โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิ การคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับ หมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และ บรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณ วิสัย
ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะ คือกิเลสเครื่องประกอบ ให้จิตติดอยู่ พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”
พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของ พระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่าน มีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวก คู่กับพระสารีบุตรว่า “พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือน มารดา ผู้ให้กำเนิดบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนม ผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”นอกจากนี้ พระมหา โมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดา เคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุม ดูแล การก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์ สร้างถวายอีกด้วย
การบำเพ็ญประโยชน์ในการประกาศพระพุทธศาสนา
พระมหาโมคคัลลานเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์ พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าท่าน มีความสามารถโดดเด่น ในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิ ของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ และของเทพบุตรเทพธิดาที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน
ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรก และของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดา ญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่ว ลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้น ก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบาง พวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนา เดิมมา ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลาย ต้องเสื่อม จากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรค และโกธวรรคว่าวันหนึ่ง พระเถระ ได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาว ด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้น จนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า “แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?"
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล 4 มุข 4 ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็น บาทจาริกา ของ นันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพ จากโลกมนุษย์ เลย ขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์ อันเปรียบประดุจ ถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำ ล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ” อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้น บนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่ พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่า พระหัตถ์ของพระบรม ศาสดา
พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทอง ของเหล่า เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดา เหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงาม ยิ่งนัก เช่นนี้ เทพบุตร และเทพธิดา เหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระ เพราะบุญทาน ที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ
บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้
บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่าง ก็พากันศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก
พระเถระทรมานพญานาค
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณา เห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหา โมคคัลลานเถระ ไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะ ละการถือลัทธินั้นเสีย พระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เราขอพักที่ กองทรายนั่นก็แล้วกัน” ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะ ได้รับอันตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น
พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตน จึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟ ให้กลับไปทำ อันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและพญานาค ต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามารถ ทำอันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียวอัคคิทัต กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง” รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระ นั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาค ขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ พระเถระจึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์ สมณะนี้มีอานุภาพ ยิ่งนัก”
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงลงจากกองทรายแล้ว เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จประทับนั่ง บนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “พระพุทธ องค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพ บูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ ทั้งปวงเมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้ว กราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้ พอเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้
พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง
พระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม และความสามารถ ในอิทธิปาฏิหาริย์ เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้ มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดีความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จาก เรื่องต่อไปนี้
สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพระอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมือง ราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก ซึ่งต่างก็โอ้อวด ว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำเป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป” เจ้าลัทธิ ทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้ จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐี ให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐี ก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไป เอาเอง เท่านั้นจึงจะได้
ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ กับ พระปิณโฑลภารทวาชะเถระ กำลังยืนห่ม จีวร อยู่บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้ คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ 7 แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้ พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง 6 ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหาะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”
พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่า ในพระพุทธศาสนา มีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระ รูปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่าง โกลาหล
เมื่อครั้งพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่น ไม่ทราบว่า พระพุทธองค์หายไปไหน จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระ แม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถามพระอนุรุทธะเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่อง คุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั่นเอง
บั้นปลายชีวิต
พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ
พระมหาโมคคัลลานะนิพพาน
วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ พักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหา โมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำ อิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์ และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ ไปเกิดในสวรรค์ และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลาย จึงพากันเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา ทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือ จากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้ว มีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตน เมื่อได้เงินมาพอ แก่ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ
พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้งในครั้งที่ 3 พระเถระ ได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่า กรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับ อย่างง่ายดาย และ ถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่า ท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป
บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ
ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้น พ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอด ด้วยกันทั้งสองคน เป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้าน ในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวล ต่อมาพ่อแม่เห็นลูกชาย อยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียว ก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดา ได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน
เมื่อแต่งงานแล้ว ชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดีเมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจ พ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสองคน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามี ให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามี ออกทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือน ให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ ตนเองไม่ สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้น จึงเชื่อคำของ ภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี “เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็น สามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอด แต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตาม ที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด”ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโค ให้พ่อถือไว้แล้ว พูดหลอกว่า “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ”
เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดา เชื่อว่าเป็น โจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด ลูกชายพอได้ยินเสียง มารดาบิดา ร้องบอก ให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดไม่ได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญ ด้วยความรัก และห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง” แม้บิดามารดาจะร้องอยู่เช่นนี้ เขาก็ยังกระทำเสียงโจร และทุบบิดามารดาให้ตาย แล้วจึงโยนทิ้งไปในดงแล้วกลับมา
ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียด อีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้ แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนี ผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง
กราบทูลลานิพพาน
พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึง นิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกาย ประสานกระดูก ด้วยกำลังฌานฤทธิ์ เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลานิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ เธอจะนิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?” “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า” “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”
พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้น จึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนา แล้วลงมาถวายอภิวาท กราบทูลลาไปยัง กาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ 15 วัน
พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมา โดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำ สักการะอัฐิธาตุตลอด 7 วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประต ูแห่งพระเชตะวัน มหาวิหารนั้น
ในทางมหายาน
(เป็นข้อความที่แต่งขึ้นมา เพราะขัดแย้งกับคำสอนของพระศาสดาในเรื่องกรรม ที่ตรัสว่า
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ การอุทิศ การบูชาต่างๆ จึงไม่มีผล)
พระมหาโมคคัลลานะ ปรากฏในความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบจีน โดยเรียกว่า "มู่เหลียน" (อักษรจีน: 目連) เมื่อมารดาของ พระมหาโมคคัลลานะ ได้ตายไป วิญญาณของนางได้ลงไปชดใช้กรรมในนรก เนื่องจากทำบาปไว้มาก วันหนึ่งพระมหาโมคคัลานะ ได้เพ่งจิตพิจารณาความเป็นอยู่ของมารดาตน พบว่านาง ต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างมาก ต้องแย่งอาหารกินกับเปรต หรืออสุรกายตนอื่น ๆ ด้วยความกตัญญูพระมหาโมคคัลลานได้เพ่งจิตส่งอาหารลงไปให้ถึงในนรก แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากอาหารนั้นได้กลายเป็นเถ้าไฟไปทุกครั้ง พระมหาโมคคัลลานะ มีความทุกข์ใจที่ไม่อาจช่วยมารดาของตนได้ จึงได้ไปกราบทูลปรึกษาพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงแนะให้โปรยทาน ด้วยผลไม้เพื่ออุทิศแก่ดวงวิญญาณคนตาย ทั้งหลายใน 10 จุด ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติแบบจีน อันเป็นที่มาของ ประเพณีทำบุญ ให้แก่คนตาย ที่เรียกว่า เทศกาลพ้อต่อ (普渡) หรือ อุลลัมพน (盂蘭勝會)
อ้างอิง
1.ชีวประวัติพุทธสาวก ประวัติพระอัจฉริยะมหาเถระเมื่อครั้งพุทธกาล เล่ม 1 จำเนียร ทรงฤกษ์ , 2542 , พิมพ์โดยสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว (สาขาวัดปากน้ำ), สำนักพิมพ์ธรรมสภา
2.เว็บไซต์ 84000
3.เว็บไชต ธรรมะ เกตเวย์
4.ประวัติพระสารีบุตรและโมคคัลลานะ จาก อรรถกถาธรรมบท
|