ที่มา : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประวัติ
การก่อตั้ง ธรรมยุติกนิกาย
พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย เกิดขึ้นเมื่อไร ทางตำนานแสดงไว้ว่า ดังนี้
1. พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเอาวินัยวงศ์ คือ ธรรมเนียม ประพฤติปฏิบัติ ทางพระวินัยแบบรามัญ มาเป็นข้อปฏิบัติเป็นครั้งแรก เมื่อ จ.ศ. 1187 ตรงกับ พ.ศ. 2368 อันเป็นปีที่ 2 แห่งการผนวช ของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงรับเอา วินัยวงศ์ แบบรามัญนิกาย มาเป็นแบบปฏิบัตินั้น เป็นการเริ่มต้นแก้ไข การประพฤติ ปฏิบัติ พระธรรมวินัยของพระองค์ ซึ่งยังผลให้มีผู้ประพฤติปฏิบัติตาม จนเกิดเป็น พระสงฆ์ คณะหนึ่งในเวลาต่อมา
2. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระเถรชั้นเดิม แห่งคณะธรรมยุต พระองค์หนึ่ง ทรงแสดงพระมติ “อันที่จริงคณะธรรมยุต ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ปีที่ออกหน้า ควรจะกำหนดว่าเป็นปีที่ตั้งนั้น คือ จ.ศ. 1191” ปี จ.ศ. 1191 ตรงกับ พ.ศ. 2372 อันเป็นที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวชได้ 6 พรรษา และเสด็จจากวัดมหาธาตุ กลับไปประทับ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงสะดวก ในการที่จะปรับปรุงแก้ไข การประพฤติ ปฏิบัติ พระธรรมวินัย ในส่วนพระองค์เอง ได้โดยสะดวกพระทัย เพราะการประทับอยู่ ในวัดมหาธาตุ อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราช และเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ของพระองค์ด้วยนั้น คงทรงเห็นว่า ไม่เป็นการเหมาะสม ที่จะประพฤติ ปฏิบัติวัตร ปฏิบัติต่าง ๆ ที่แปลกจากทำเนียมปฏิบัติ ที่เคยเป็นมา ฉะนั้น การเสด็จกลับไป ประทับ ที่วัดสมอราย จึงเท่ากับเป็นการเริ่มต้นการปรับปรุงแก้ใข วัตรปฏิบัติ ทาง พระธรรมวินัย ของพระองค์ พร้อมทั้งคณะศิษย์ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง
3. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแสดงพระมติไว้ ตามที่ ปรากฏใน ลายพระหัตถ์ถวายพระพร พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “วันพรุ่งนี้ (คือวันที่ 11 มกราคม) เป็นวันที่คณะธรรมยุต และวัดบวรนิเวศ ตั้งมา ได้ครบ 60 รอบปีบริบูรณ์” ตามความในลาย พระหัตถ์ดังกล่าวนี้ หมายความว่า ทรงถือเอา วันที่ 11 มกราคม ร.ศ. 55 ( ตรงกับ พ.ศ. 2379) อันเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จจากวัดสมอราย มาครอง วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวันตั้งคณะธรรมยุต และเป็นวัน ตั้งวัดบวรนิเวศวิหาร
พัฒนาการของธรรมยุติกนิกาย
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ศูนย์กลางของคณะธรรมยุติกนิกาย
ตามความในพระราชประวัติ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเริ่ม ปรับปรุง แก้ไขการประพฤติปฏิบัติ พระธรรมวินัย ในส่วนพระองค์ เพื่อให้ ถูกต้อง ตามที่ทรงได้ศึกษา พิจารณามาตั้งแต่ผนวชได้ 2 พรรษา ขณะที่ยังประทับ อยู่วัดมหาธาตุ และเริ่มมีสหธรรมิกอื่น ๆ นิยมปฏิบัติตามพระองค์ ขึ้นบ้างแล้ว แต่ยัง คงไม่มากนัก
ครั้นปี พ.ศ. 2372 อันเป็นปีที่ผนวชได้ 6 พรรษา พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงตั้งเป็น พระราชาคณะ มาถึงระยะนี้ คงมีภิกษุสามเณร ที่นิยมการ ปฏิบัติตาม อย่างพระองค์ และมาถวายตัว เป็นศิษย์มากขึ้น จึงได้เสด็จจาก วัดมหาธาตุ กลับไปวัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) อันเป็นวัดนอก กำแพง พระนคร และเป็นวัดฝ่า ยอรัญญวาสี หรือวัดป่า ที่มีชื่ออยู่ในขณะนั้น ทั้งนี้ก็คงเพื่อความ สะดวก พระทัย ในอันเป็นที่พระองค์ พร้อมทั้งคณะศิษย์ จะได้ประพฤติปฏิบัติ และบำเพ็ญ กิจวัตรต่าง ๆ ทางพระธรรมวินัย ที่เห็นว่าถูกว่าควรได้ตามประสงค์ แต่ศิษย์บางส่วนก็ยังคงอยู่ ที่วัดมหาธาตุ ต่อมา
แม้เมื่อเสด็จมาประทับ ที่วัดสมอรายแล้ว การปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ในคณะ ของพระองค์ ก็คงยังดำเนินไป ได้ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะพระองค์มิได้ทรงเป็น อธิบดีสงฆ์แห่งสำนักนั้น ฉะนั้น ในขณะเมื่อประทับอยู่ที่ วัดมหาธาตุ ก็ดี ที่วัด สมอราย ก็ดี ธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทรง พระราชดำริ ปรับปรุงแก้ไข ขึ้นใหม่ คงยังไม่ได้มีกำหนด เป็นรูปแบบที่ชัดเจนบริบูรณ์
ต่อเมื่อเสด็จมาครอง วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2379 แล้ว จึงปรากฏหลักฐานว่า ทรงตั้ง ธรรมเนียม ปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ธรรมยุติ ขึ้นอย่างไรบ้าง ดังที่ปรากฏ ในตำนาน วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นต้น
โดยที่พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย เกิดขึ้นจากผลของการ แสวงหาความถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย เริ่มแต่การทรงศึกษาสอบสวน ของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ตลอดมาจนถึงการ ศึกษา สอบสวนของ พระเถรานุเถระ ผู้เป็นบูรพาจารย์ แห่งคณะธรรมยุตเป็นลำดับมา
ธรรมเนียมและแบบแผนของธรรมยุติกนิกาย
ระเบียบแบบแผน ในด้านการปฏิรูป ทางพระพุทธศาสนา ของธรรมยุติกนิกาย โดย พระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)
1) ทรงตั้งธรรมเนียม นมัสการพระเช้าค่ำ ที่เรียกว่าทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ เป็นประจำ และทรง พระราชนิพนธ์บทสวดเป็นภาษาบาลี เป็นคาถา เป็น จุณณิยบท ซึ่งใช้ แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีการรักษาศีลอุโบสถ และแสดงพระธรรมเทศนา เวลา สามโมงเช้า และบ่ายสามโมง ในวันธรรมสวนะ และวันอุโบสถ เดือนละ 4 ครั้ง
2) ทรงปฏิรูปการเทศน์ และการอธิบายธรรม ทรงเริ่มการเทศนาด้วยฝีพระโอษฐ์ ชวนให้ผู้ฟัง เข้าใจง่าย และเกิดศรัทธา ไม่โปรดเขียนหนังสือไว้เทศน์ นอกจากนี้ ยังทรงฝึกหัดศิษย์ให้ปฏิบัติ ตาม ทรงอธิบาย เพื่อให้คนเข้าใจในเนื้อหา ของ หลักธรรม เผยแพร่หลักธรรม สู่ราษฎร อธิบายหลัก อันยุ่งยากซับซ้อน คณะสงฆ์ ธรรมยุติ ได้เพิ่มบทสวดมนต์ภาษาไทยลงไป ทำให้คนนิยมฟัง เป็นอันมาก
3) ทรงกำหนดวันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางศาสนา เพิ่มขึ้นจากวันวิสาขบูชา ทรงพระราชนิพนธ์ คำบูชา และวางระเบียบให้เดินเวียนเทียน และสดับ พระธรรมเทศนา ทรงชักนำให้บำเพ็ญกุศล ตามเทศกาลต่าง ๆ เช่น ถวายสลากภัตร ตักบาตรน้ำผึ้ง ถวายผ้าจำนำพรรษา
4) ทรงแก้ไขการรับผ้ากฐินให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ คือเริ่มแต่การซัก ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จ ภายใน วันเดียวกัน
5) ทรงแก้ไขการขอบรรพชา และการสวดกรรมวาจา ในอุปสมบทกรรม ให้ถูกต้อง ยิ่งขึ้น เช่น ระบุนาม อุปสัมปทา และนามอุปัชฌายะ ซึ่งเป็นภาษาบาลี ในกรรมวาจา การออกเสียง อักษรบาลี ทรงให้ถือ หลักการออกเสียง ให้ถูกฐานกรณ์ ของอักขระ ตามหลักบาลีไวยากรณ์
6) ทรงวางระเบียบการครองผ้า คือการนุ่งห่มของภิกษุสามเณร ให้ปฏิบัติไป ตามหลัก เสขิยวัตร ใน พระวินัย เพื่อให้สุภาพเรียบร้อย (เดิมพระธรรมยุติครองจีวร ห่มม้วนซ้าย แต่ตอนปลายรัชกาล พระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยน มาห่มห่ม ม้วนขวา (ห่มมังกร) ตามแบบพระสงฆ์ มหานิกาย ครั้นถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ จึงได้กลับมาห่ม ม้วนซ้าย ตามเดิม) ทรงวางระเบียบ การกราบไหว้ ของพระภิกษุสามเณร และระเบียบอาจารยะ มารยาท ต้องวางตัว ให้น่าเลื่อมใสศรัทธา สังวรในกิริยามารยาท และ ขนบธรรมเนียม
7) ทรงให้พระสงฆ์ธรรมยุติ ศึกษาพระปริยัติธรรม ให้แตกฉาน สามารถแสดง ธรรมเทศนา สั่งสอน สามารถแยกระหว่างความเชื่อที่มีเหตุผล และความเชื่อในสิ่ง ที่ไม่สามารถอธิบายได้ การศึกษา ในด้านวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่รับรู้เฉพาะสมถะวิธี อันเป็นเบื้องต้น แต่ให้รับรู้ไปถึงขั้นวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบัติตามพระวินัย ทรงให้ ถือหลักว่าสิ่งใดที่สงสัย และน่ารังเกียจไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด พึงเคารพพระวินัย อย่างเคร่งครัด
8) ทรงเห็นความสำคัญในการศึกษาหา ความรู้สาขาอื่น ๆ ของพระสงฆ์ จึงทรง อนุญาต ให้พระสงฆ์ เข้าศึกษา ภาษาอังกฤษ กับหมอแคสเวล (Reverend Jesse Caswell) ตามความสนใจ ทำให้มีการสืบสาน การเข้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมของ พระสงฆ์มาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|