มหานิกาย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มหานิกาย
เป็นคำเรียกนิกาย หรือคณะของ พระสงฆ์ไทยสายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งเป็น พระสงฆ์ส่วนใหญ่ ในประเทศไทย เป็นฝ่ายคันถธุระ
เดิมนั้น คำเรียกแบ่งแยกพระสงฆ์ สายเถรวาทในประเทศไทย ออกเป็น มหานิกาย และ ธรรมยุติกนิกาย ยังไม่มี เนื่องจาก คณะพระสงฆ์ไทย ในสมัยโบราณ ก่อนหน้าที่ จะมีการจัดตั้งคณะธรรมยุตขึ้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ไม่มีการแบ่งแยกออกเป็น นิกายต่าง ๆ
โดยส่วนใหญ่พระสงฆ์ไทยนั้น ล้วนแต่เป็น เถรวาท สายลังกาวงศ์ ทั้งสิ้น จนเมื่อ พระวชิรญาณเถระ หรือเจ้าฟ้ามงกุฏ (พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) ได้ก่อตั้งนิกายธรรมยุตขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แยกออกจากคณะพระสงฆ์ไทย ที่มีมา แต่เดิมซึ่งเป็น พระสงฆ์ส่วนใหญ่ ในสมัยนั้น จึงทำให้พระองค์ คิดคำเรียกพระสงฆ์ ส่วนใหญ่ ในประเทศไทย ที่เป็น สายเถรวาท ลังกาวงศ์เดิมว่า พระส่วนมาก หรือ มหานิกาย
ซึ่งคำ มหานิกาย นั้น มาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลี มหนฺต + นิกาย แปลว่าพวกมาก กล่าวโดยสรุป มหานิกายก็คือพระสงฆ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ดั้งเดิม ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
ความเป็นมาลัทธิเถรวาทลังกาวงศ์ (คณะสงฆ์มหานิกาย) หรือคณะคามวาสี ในประเทศไทย
ประวัติของนิกายเถรวาท ในประเทศศรีลังกา
เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงอุปถัมภ์การสังคายนา ครั้งที่สาม ในศาสนาพุทธ ให้เจริญรุ่งเรือง ขึ้น ในชมพูทวีป และจัดส่งสมณทูต ไปยังดินแดน ต่าง ๆ รวม 9 แห่ง หนึ่งในนั้นรวมดินแดนลังกา (ประเทศศรีลังกา) ด้วย
ต่อมาพระพุทธศาสนา ในลังกาทวีป (ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของดินแดน ศรีลังกา ในอดีต) ได้เจริญรุ่งเรือง และ เสื่อมโทรมบ้าง ตามความศรัทธาของประชาชน และ เหตุการณ์บ้านเมือง ครั้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏ ตามมหาวงศ์ว่า เมื่อ พ.ศ. 1696 พระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราช ได้ครองราชสมบัติ ในลังกาทวีป ซึ่ง ในเวลานั้น บ้านเมือง ยังถูกพวกทมิฬ (ชาวฮินดู) ครอบครองอยู่โดยมาก
พระเจ้าปรักกรมพาหุ จึงได้พยายามทำสงคราม ขับไล่พวกทมิฬไปได้ และถึงกับ ยกกองทัพข้ามไปตีเมืองทมิฬ ในอินเดีย ไว้ในอำนาจได้อีกด้วย เมื่อพระองค์จัดการ บ้านเมืองในลังกาได้เรียบร้อยแล้ว จึงได้ทรงฟื้นฟู พระพุทธศาสนา โดยให้พระสงฆ์ ในลังกาทวีป รวมเป็นนิกายเดียวกัน พร้อมกับจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัย (ซึ่งนับถือกันว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ 7 ของฝ่ายเถรวาท)
นับแต่นั้น พระพุทธศาสนา จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้น ในลังกาทวีป มีกิตติศัพท์เลื่องลือ ไปทั่วในดินแดนใกล้เคียง ประกอบกับช่วงเวลานั้น พระพุทธศาสนาในอินเดีย ถูกชาวฮินดู เบียดเบียนให้เสื่อมโทรมลง เมืองลังกาจึงได้รับการยอมรับนับถือว่า เป็นหลักของประเทศที่นับถือ พระพุทธศาสนาคตินิกายเถรวาทด้วยกัน
การสืบนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ในพุกาม
กิตติศัพท์ในการทำนุบำรุง การพระพุทธศาสนา ในลังกาทวีป เลื่องลือมาจนถึง ดินแดนพม่า ในสมัยของพระเจ้า นรปติสี่ตู่ แห่งอาณาจักรพุกาม ได้อาราธนาให้ พระมหาสังฆปรินายกพุกาม ซึ่งมีนามว่า พระอุตตรชีวะ เป็นสมณทูต ไปสืบ พระพุทธศาสนาในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. 1733
ในจารึกวัดกัลยาณีกล่าวไว้ว่า เมื่อคราวพระมหาเถระอุตราชีวะ ไปเมืองลังกาครั้งนั้น มีเด็กชาวมอญชาวเมือง พสิมคนหนึ่ง ได้ถวายตัว เป็นศิษย์ แล้วบวชเป็นสามเณร มีนามปรากฏว่า “ฉปัฎ” ได้บวชติดตามท่านไปลังกาด้วย ครั้นเมื่อพระมหาเถระ อุตราชีวะ จะกลับเมืองพุกาม สามเณรฉปัฎ ขออยู่เล่าเรียนที่เมืองลังกา เมื่ออายุครบ บวช ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวงศ์ของคณะสงฆ์ลังกา และได้เล่าเรียนศึกษา พระธรรมวินัย ตามลัทธิที่สังคายนา
ครั้งพระเจ้าปรักกรมพาหุ จนเชี่ยวชาญรอบรู้ แตกฉาน เมื่อบวชครบ 10 พรรษา บรรลุเถรภูมิ (เป็นพระเถระ) จึงได้ชักชวนเพื่อน สหธรรมิก ภิกษุที่ได้เล่าเรียน และเป็นพระมหาเถรภิกษุ ด้วยกันอีก 4 รูป มีนามว่า
- พระสีวลี ชาวลิตถิคาม (ลังกา) รูป 1
- พระตามะลินทะ พระโอรสของพระเจ้ากรุงกัมโพช รูป 1
- พระอานันทะ ชาวเมืองกาญจนบุรี (หรือปัจจุบัน คอนชิวรัม Gonjeevaram เมืองมัทราษฎร์ ในอินเดียใต้) รูป 1
- พระราหุล ชาวลังกา รูป 1
จาริกโดยสารเรือมายังเมืองพสิมแล้วขึ้นต่อไปยังเมืองพุกาม
พระเถระ 5 องค์ที่บวชมาจาก ลังกา เมื่อเห็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในเมืองพม่า ผิดกับพระสงฆ์ลังกามากนัก จึงไม่ยอมร่วมลงสังฆกรรม กับพระสงฆ์ในคณะพื้นเมือง ทำให้พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ในเมืองพุกามเกิดเป็น 2 นิกายขึ้น (แยกกันลงสังฆกรรม)
พระสงฆ์ลังกาวงศ์นั้น เป็นพระมหาเถระ สำรวมสังวรวัตร ปฏิบัติเคร่งครัด ผิดกับ พระสงฆ์ในพื้นเมืองสมัยนั้น ทำให้เมื่อพระมหาเถระทั้ง 5 องค์ ได้ศึกษาภาษาพม่า จนสามารถสั่งสอนชาวเมืองได้ ก็ทำให้มีคนเลื่อมใสมาก จนกระทั่ง พระเจ้า นรปติสิทธุ ก็ทรงเลื่อมใสทำนุบำรุง คณะพระสงฆ์ลังกาวงศ์ และสนับสนุนให้ชาว พม่า
บวชในนิกายลังกาวงศ์มากขึ้นเป็นลำดับมา
ประวัติการตั้งนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ในเมืองนครศรีธรรมราช
ต่อมา พระราหุลเถระ หนึ่งในพระมหาเถระทั้ง 5 องค์ ได้นำกลุ่มคณะพระสงฆ์ มายังประเทศหนึ่ง ปรากฏใน พงศาวดารพม่า ว่า เมืองมลายะ (นครศรีธรรมราช) ซึ่งมีกษัตริย์อาณาจักรศรีวิชัย เชื้อสายมลายูปกครองอยู่ เป็นอิสระ
ต่อมากษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชได้เลื่อมใส ในพระราหุลเถระ จึงตั้งให้เป็น พระราชครู หลังจากนั้นจึงมีพระสงฆ์ ชาวลังกาตามมาอีกมาก และได้มีชาวเมือง และ ชาวเมืองอื่น ๆ ในดินแดนแถบประเทศไทย และใกล้เคียงได้พากันไปบวชเรียน ที่เมืองลังกามากขึ้น ความนิยมนับถือ ในคติพระพุทธศาสนาเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ จึงแพร่หลาย ตั้งมั่น ในดินแดนประเทศไทยสืบมา (ลัทธิลังกาวงศ์เริ่มมาตั้งที่เมือง นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 1740 ก่อนตั้ง กรุงสุโขทัย ประมาณ 50 ปี)
ความเจริญของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลังกาวงศ์ ในดินแดนประเทศไทย
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1822 - พ.ศ. 1841) ทรงสดับกิตติศัพท์ของ พระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนา พระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกา ที่มาเผยแผ่ อยู่ที่นครศรีธรรมราช มาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในกรุงสุโขทัย
ต่อมาทั้งชาวไทยวน ชาวมอญ และชาวเขมร ต่างก็นิยมฝ่ายลังกาวงศ์จึงได้ส่ง พระสงฆ์ ไปสืบพระพุทธศาสนา ที่ลังกาบ้าง มีการนิมนต์ พระลังกา มาเป็นอุปัชฌาย์ ในเมืองของตนบ้าง การเผยแพร่พระพุทธศาสนาสายเถรวาท ลัทธิลังกาว์ ในดินแดน แถบสุโขทัย จึงรุ่งเรือง มานับแต่นั้น ทำให้พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และ ศาสนาฮินดู ซึ่งเจริญมาแต่ก่อนนั้น หมดความนิยมไป
เมื่อคณะสงฆ์ได้รวมกันเป็นคณะเดียวกันแล้ว จึงได้แบ่งธุระ ออกเป็น 2 พวก คือ พวกที่สมาทานคันถธุระ ก็เล่าเรียนภาษาบาลี พระไตรปิฎก คณะสงฆ์ฝ่ายนี้ มักเลือก วัด ที่อยู่ใกล้บ้าน จึงได้ชื่อว่า "คณะคามวาสี" ส่วนพวกที่ สมาทาน วิปัสสนาธุระ ก็จะบำเพ็ญหา ความสงบสุข อยู่ตามวัดในป่า จึงได้ชื่อว่า "คณะอรัญวาสี" เผยแผ่ พระพุทธ ศาสนา เจริญรุ่งเรืองสืบมา
การแยกนิกายของพระสงฆ์เถรวาทในประเทศไทย
วัดบวรนิเวศวิหาร ศูนย์กลางของคณะธรรมยุติกนิกาย
ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศ เป็น เจ้าฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ได้ทรงศรัทธา เลื่อมใส ในจริยาวัตร ของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ ในวงศ์พระสงฆ์ มอญ (รามัญนิกาย) เมื่อ พ.ศ. 2372 และได้ทรงตั้ง คณะธรรมยุต ขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แล้วเสด็จมาประทับ ที่วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลาง ของ คณะธรรมยุตสืบต่อมา
และใน พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติ ลักษณะ การปกครอง คณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก ในประเทศไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ รศ.121” มีสาระสำคัญคือ ได้ยกสถานะ คณะธรรมยุต ให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทำให้มีการแบ่งแยกเรียกนิกายของคณะสงฆ์ใหม่ ตามศัพท์บัญญัติของพระวชิรญาณ เถระ ว่า "ธรรมยุติกนิกาย" และเรียกกลุ่มพระสงฆ์ เถรวาท ลังกาวงศ์พื้นเมือง ที่มีมาอยู่แต่เดิมว่า "มหานิกาย" สืบมาจนปัจจุบันนี้
พระธรรมทูต สายคณะสงฆ์ไทยฝ่ายมหานิกาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ
-ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยใน สหรัฐอเมริกา พระเทพพุทธิวิเทศ (ประชัน ชุตินฺธโร ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดพุทธาวาส เมืองฮิวส์ตั้น รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
-หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) BA MA Ph.D เจ้าอาวาส วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
-ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในยุโรป พระธรรมพุทธิวงศ์ (สวัสดิ์ อตฺถโชโต) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศเนเธอร์แลนด์
-ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสิงคโปร์ พระเทพสิทธิวิเทศ (สุจินต์ โชติปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดอานันทเมตยาราม
-ประธานองค์กรพระธรรมทูตไทย ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ พระเทพภาวนา มงคล (ธีรวัฒน์ อมโร) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประธานพระธรรมทูตไทย ประเทศ รัสเซีย ศาสตราจารย์ ดร.พระชาตรี เหมพนฺโธ วัดพุทธวิหาร ประเทศรัสเซีย
-ศาสตราจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยเซ็นปีเตอร์สเบิร์ก
การสังเกตการครองผ้าของพระสงฆ์ไทยทั้ง 2 นิกาย
แบบการครองจีวรของภิกษุเดิม ในพระไตรปิฎก ได้กล่าวไว้ชัดเจน มีในเสขิยวัตรว่า "ให้ทำความสำเหนียกว่า จักนุ่งจักห่ม ให้เป็นปริมณฑล คือเรียบร้อย ... พึงนุ่งปิดสะดือ และปกหัวเข่าให้เรียบร้อย พึงทำชายทั้งสอง ให้เสมอกัน ห่มให้เรียบร้อย ในการแสดงเคารพหรือทำวินัยกรรม "ให้ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า"" ซึ่งก็คือห่มจีวร เฉวียงบ่า
ในการเข้าบ้าน กล่าวว่า "ห่มสังฆาฎิทั้งหลายทำให้มีชั้น และกลัดดุม แต่กำชับไว้ ให้ปิดกายด้วยดี ห้ามไม่ให้เปิด ไม่ให้เวิกผ้าขึ้น" สันนิษฐานว่า คือการห่มคลุม ทั้งสองบ่า
การแบ่งประเภทของการครองจีวร
พระภิกษุสงฆ์มหานิกายในประเทศไทย มีการครองผ้าจีวร หลายประเภท เช่น "ห่มดอง" "ห่มลดไหล่" หรือ "ห่มเฉวียงบ่า" (เวลาลงสังฆกรรม) "ห่มคลุม" (เวลาออกนอกอาราม) และ "ห่มมังกร"
ห่มลดไหล่
"ห่มลดไหล่" "ห่มเฉียง" หรือ "ห่มเฉวียงบ่า"ซึ่งเป็นการห่ม ที่ใช้ในการแสดงความ เคารพ ปัจจุบันใช้ในการห่ม ในเขตวัด โดยนำผ้าจีวร ผืนหนึ่ง มาพันตัวชายจรดชาย ม้วนเข้าหาตัวลูกบวบวางบนบ่า
ห่มคลุม
ห่มคลุมหมายถึงการคลองจีวร ด้วยการม้วนผ้าชายจรดชายม้วนเข้าหาตัวลูกบวบ มาวางบนบ่าคลุม 2 บ่ามิดชิดดี ใช่ในการห่มออกนอกวัด ซึ่งถ้าไม่ห่มคลุม ในเวลา ออกนอกเขตวัด (เขตติจีวรวิปวาโส) ต้องอาบัติทุกกฎ ปัจจุบัน มักห่มดองออก นอกวัด โดยถือเป็น เรื่องธรรมดาว่า ถูกต้อง โดยเฉพาะภาคเหนือ ทั้งๆที่ผิดวินัย
ห่มดอง
การห่มดอง หมายถึง การครองผ้าลดไหล่ของภิกษุ แบบมหานิกาย มีสังฆาฏิพาด คือการครองผ้าจีวรอันเป็น ปริมณฑล (ห่มครบไตรจีวร) ที่เรียกว่า "ห่มดอง" กระทำ โดย มีการพับจีวรเป็นทบแล้วคลี่ทาบมาที่บ่าชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงนำผ้าสังฆาฎิซึ่งพับ เป็นผืนยาว มาพาดไหล่ ด้านซ้าย ของผู้ห่มก่อนที่จะนำ "ผ้ารัดอก" มารัดบริเวณอก อีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเป็นการห่มที่เป็นที่นิยมทั่วไป ของพระสงฆ์มหานิกาย ซึ่งดู เรียบร้อย และทะมัดทะแมงแน่นหนา เนื่องจากมีผ้ารัดอก ข้อเสียคือเปิดสีข้าง ดูไม่งาม อีกทั้งไม่ใช่การครองจีวรที่มีมา ตามพระบรม พุทธานุญาติ เนื่องจากผ้า รัดอก ไม่มีในอัฏฐบริขาร
ห่มมังกร
ห่มมังกร หมายถึงการครองผ้า ที่หมุนผ้าลูกบวบไปทางขวา เมื่ออยู่ในวัดจะห่ม เฉวียงบ่า และห่มคลุม ในเวลาออก นอกวัด เป็นการห่มตาม ธรรมเนียมของ พระมหานิกาย (ปัจจุบันยังมีบางวัดนิยมการห่มแบบนี้อยู่ โดยมากจะเป็น วัดมหานิกาย ในกรุงเทพมหานคร เฉพาะผู้ที่มี การศึกษาสูง) ที่ถือว่าถูกต้องตาม พระบรมพุทธานุญาต คือ "ชายจรด ชายม้วนขวา หรืออีกนัยหนึ่งแปลว่าข้างนอก (พาหันตะ) คือม้วนออกข้างนอกตัว ซึ่งก็เข้ากันได้กับการม้วนขวา วางบนแขน" การที่ม้วนขวาเนื่องจากในสมัยพุทธกาล ถือว่าการม้วนขวานั้นเป็นมงคล (ประทักษิณ)
ถ้าห่ม"บิดขวา" เป็นการห่มแบบมหานิกายแท้ เป็นวัตรปฏิบัติในการครองจีวรข องพระสงฆ์มหานิกาย หรือพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ในประเทศไทย ก่อนที่จะมีคำสั่ง ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้พระ ภิกษุ ทั่วสังฆมณฑล ห่มผ้าตามแบบของธรรมยุติกนิกาย ทั้งหมดนั้น (ปัจจุบันพระ ฝ่ายมหานิกาย ส่วนมากนิยมหมุนซ้าย แบบธรรมยุต หรือพระรามัญไปแทบทั้งสิ้น)
สันนิษฐานว่า สมณะนอกศาสนานั้น ย่อมห่มชายจรดชายม้วนขวา ม้วนเข้าหาตัว ลูกบวบวางบนบ่าเช่นเดียวกัน เพราะ สังคมอินเดียสมัยนั้น ถือว่าม้วนขวา (ประทักษิณ) เป็นมงคล ม้วนซ้ายเป็นกาลกิณี แต่ว่าน่าจะวางไว้ ที่บ่าขวา เมื่อห่มเฉวียงบ่า จะเปิดไหล่ซ้าย เช่นเดียวกับ นักบวชของศาสนาฮินดู หรือนอก ศาสนาพุทธในประเทศ อินเดีย ที่นิยมเปิดบ่าซ้าย (สังเกตได้แม้ในปัจจุบันนี้) ดังนั้นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา จึงวางไว้ที่บ่าซ้าย และเปิด บ่าขวา เพื่อแสดงถึง ความแตกต่าง
การห่มมังกรนั้น แบ่งออกเป็น สองอย่าง คือการห่มมังกรอย่างไท ยและการห่มมังกร อย่างพม่า การห่มมังกร อย่างไทย นั้น จะใช้รักแร้หนีบ ลูกบวบไว้ และจะไม่คลี่ ลูกบวบ เพื่อเอามือออกแต่จะเวิกผ้ายกขึ้นมาเลย ส่วนการห่ม มังกร อย่างพม่านั้น จะวางลูกบวบบนบ่า และจะคลี่ลูกบวบ เพื่อเอามือออก และจะติดกระดุมสอง แห่งคือปิดที่คอ และ ชายผ้า ซึ่งการห่มมังกรอย่างพม่า จะเป็นการห่มแบบดั้งเดิม
|