เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม

     เรื่องทั่วไป ในวงการศาสนา ข่าวในวงการสงฆ์ กฎหมายปกครองสงฆ์
ค้นหาคำที่ต้องการ          

  การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยต่างๆ N145
 


การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยต่างๆ
- การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1792 - 1981)
- การปกครองคณะสงฆ์สมัยอยุธยา   (พ.ศ.1893 - 2310)
- การปกครองพระสงฆ์ในสมัยกรุงธนบุรี   (พ.ศ.2310–2325)
- การปกครองคณะสงฆ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ( พ.ศ. 2325 - )

 
 

การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยต่างๆ

การปกครองคณะสงฆ์สมัยพุทธกาล
การปกครองระยะต้นๆ พระพุทธเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เองทุกอย่าง พอระยะ ต่อมาให้ พระสาวกช่วยกระทำบ้าง เป็นการแบ่งเบาภาระ และฝึกหมู่สาวก เพื่อที่จะ รับช่วงงาน จาก พระองค์ ครั้นต่อมาตอนใกล้ปรินิพพาน ทรงมอบความเป็นใหญ่ ให้หมู่พระสงฆ์ สาวก ส่วนพระองค์ก็ทรงดูแลทั่วไป และทำงานด้านการสอน อย่างเดียว เป็นทำนอง “บิดาอบรมบุตร ธิดาให้รู้จักการงาน” บั้นปลายชีวิตก็มอบ ทรัพย์สมบัติให้

๒. ตอนหลังสมัยพุทธกาล
คณะสงฆ์แตกแยกออกเป็นหลายคณะ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำหลักการป้องกัน การ วิวาทไว้ เช่น หลักแห่งสามัคคีธรรม และหลักแห่งการ ระงับอธิกรณ์ของสงฆ์ เป็นต้น

หลักแห่งการป้องกันความแตกแยกนั้น พระองค์ทรงแนะไว้ ๔ ประการ คือ
       ๑. ให้มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนบรรพชิต ทั้งที่ลับและ ที่แจ้ง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
       ๒. ให้มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อต่อกัน ไม่ตระหนี่ในปัจจัย ๔ แบ่งปันกันใช้ ตามที่มี
       ๓. ให้มีความเสมอกันโดยศีล
       ๔. ให้มีความเสมอกันโดยทิฏฐิ

-------------------------------------------------------------------------------------------------

๓. การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัย

".....พ่อขุนรามคำแหง กระทำโอยทาน แก้มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎก ไตรหลวก(รู้) กว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคน ลูกแต่เมืองสีธรรมราชมา.........." เป็นต้น

พระพุทธศาสนา สมัยสุโขทัย เป็นนิกายมหายาน เพราะสืบทอด มาจากสมัยขอม มีอำนาจ ครั้นถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ขยายอำนาจไปทางใต้ ทรงเลื่อมใส ในพระเถระ นิกายเถรวาท ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากลังกา จึงทรงอาราธนาพระเถระ จาก เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อมาปรับปรุงพุทธศาสนา และพระสงฆ์ในสุโขทัย เมื่อ คณะสงฆ์ ทางใต้ ขึ้นไปปรับปรุง คณะสงฆ์สุโขทัย จึงหันกลับมาถือนิกายหินยาน หรือเถรวาท มากขึ้น

คณะสงฆ์สุโขทัยแบ่งออกเป็น ๒ คณะใหญ่ๆ คือ

๑. คามวาสี ( นิกายเดิม) เป็นพระที่มีอาราม อยู่ใกล้บ้านใกล้เมืองหรืออยู่ในบ้าน ในเมือง เล่าเรียนคันถธุระ (ศึกษาพระไตรปิฎก)

๒. อรัญญวาสี มาจากลังกา ทางลังกานิยมเรียกคณะนี้ว่า "วนวาสี" แปลว่า "ผู้อยู่ป่า" ปรากฏในศิลาจารึกว่า พระเจ้าแผ่นดินซึ่งครองกรุงสุโขทัย

ทรงจัดให้พระมหาสวามีสังฆราช ที่มาจากลังกา อยู่ในอรัญญิกประเทศ คือ อัมพวัน วนาราม วัดสวนมะม่วง นอกพระนครเป็นพระอยู่ในอารามป่า เล่าเรียนวิปัสสนา

ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์
๑. การปกครองคณะสงฆ์ มิได้แบ่งการปกครอง เป็นการปกครองร่วมกัน บังคับบัญชา ตามลำดับชั้น

๒. พระสังฆราช เป็นตำแหน่งสูงสุดของการปกครองคณะสงฆ์

๓. "ปู่" คงจะเป็นตำแหน่งรองจากสังฆราช(ปัจจุบันเรียกว่า พระครู)

๔. "มหาเถระ" คงได้แก่ พระผู้มีพรรษา ผู้คงแก่เรียน รู้ธรรมวินัยทั่วไป แต่มิใช่ ตำแหน่ง ที่ กษัตริย์แต่งตั้ง อาจจะมีตำแหน่งทางการปกครองเป็นเจ้าคณะหมู่ หมวด หรือสมภารวัดก็ได้

๕. สมัยสุโขทัยตอนปลาย ได้มีประเพณีพระราชทานสมณศักดิ์ แก่พระสงฆ์คงรับ มาจาก ลังกา

๖. ในสมัยสุโทัยบางครั้งเรียก "คณะคามวาสี" ว่า ฝ่ายขวา "คณะอรัญญวาสี" ว่า ฝ่าย ซ้าย แต่ชื่อคณะคามวาสีและคณะอรัญญวาสี คงมีใช้ต่อมา จนถึงสมัย อยุธยา

เข้าใจว่า "ตำแหน่งสังฆราช" กับ "ปู่ครู" เป็นสมณศักดิ์ในสมัยนั้น สุโขทัย มีสังฆราชหลายพระองค์แต่ การปกครอง ไม่มีเอกภาพเหมือนกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะหัวเมือง ใหญ่ ที่เป็นประเทศราช เจ้าเมืองก็ตั้งสังฆราชเป็นประมุข ในแต่ละ เมือง เป็นประมุข ในสมัยหลัง ปรากฏเรียกตำแหน่งพระเถระเจ้าคณะเมืองว่า "สังฆราชา" อยู่หลายแห่ง สังฆราชจึงมิใช่ มีองค์เดียว ส่วนปู่ครูนั้น เมืองใหญ่ๆ อาจมีหลายองค์ ถ้าเมืองเล็กมีองค์เดียว ขึ้นตรงต่อ สังฆราช


-------------------------------------------------------------------------------------------------

๔. การปกครองคณะสงฆ์สมัยอยุธยา

ยังคงถือแบบอย่างสุโขทัย แต่เพิ่มขึ้นมาอีกคณะคือ "คณะป่าแก้ว" สืบเนื่องจาก ตามตำนาน โยนก กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ.๑๙๖๕ พระเถระชาวเชียงใหม่ ๗ รูป พระเถระ ชาวอยุธยา ๒ รูปและพระเถระชาวเขมร ๑ รูป เดินทางไปลังกาและได้บวชแปลง เป็นสิงหลนิกาย ในสีมาน้ำ แม่น้ำกัลยาณี ในสำนักพระวันรัตนมหาเถระ

เมื่อบวชใหม่แล้ว ก็ปฏิบัติอยู่ในลังกานานหลายปี จึงเดินทางกลับ ขากลับนิมนต์ พระเถรชาว ลังการ มาด้วย ๒ รูป เมื่อถึงอยุธยาแล้วก็แยกย้ายกันไปเผยแผ่ ตั้งนิกาย ขึ้นมาใหม่เรียกว่า "ป่าแก้ว" (วนรัตน = ป่าแก้ว) คณะนี้ยังปรากฏ ที่นครศรีธรรมราช และพัทลุง เช่น วัดเขียน คณะป่าแก้ว เป็นต้น คณะนี้ปฏิบัติเคร่ง ประชาชนจึง สนับสนุนมาก

พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา(พิมพ์ พ.ศ.๒๔๕๕) ว่า

".....มูลเหตุแห่งการแยกคณะสงฆ์ออกเป็น ๒ เกิดขึ้นในแผ่นดินสมเด็จ พระมหา ธรรมราชา ธิราช ราว พ.ศ.๒๔๒๗ พระองค์ทรงระลึกถึงพระมหาเถรคันฉ่อง (ชาวมอญ) จึงโปรดให้เป็น สังฆราช ครองวัดมหาธาตุ มีพระทินนามว่า สมเด็จ พระอริยวงศญาณฯ

ครั้งนั้น คณะสงฆ์แยกเป็ย ๒ คณะ คือ คณะเหนือให้ขึ้นต่อสมเด็จพระอริยวงศญาณฯ คณะใต้ขึ้นต่อสมเด็จพระวันรัตน์(สังฆราชาเดิมคือ คณะป่าแก้ว)

ผู้รู้เห็นว่า พระมหาเถรคันฉ่อง เป็นพระมอญ แม้จะมีความดีมากแต่คงไม้ได้เป็นใหญ่ ถึงขั้น สังฆราช อาจปกครองเฉพาะพระชาวมอญเท่านั้น คณสงฆ์นั้นสันิษฐานว่า น่าจะแบ่งออกเป็น ๓ คณะ คือ
       ๑. คณะคามวาสีฝ่ายขวา
       ๒. คณะอรัญวาสี
       ๓. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย

ลักษณะการปกครองของคณะสงฆ์

๑. สมณศักดิ์ในสมัยอยุธยาเพิ่มเป็น ๓ ขั้น คือสังฆราช กับ พระครู ยังเอาแบบ สุโขทัย เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช บังคับบัญชาคณะสงฆ์ทั่วอาณาจักร แบ่ง การปกครองดังนี้
       ๑.๑ สมเด็จพระสังฆราช ว่าการทั่วราชอาณาจักร
       ๑.๒ พระสังฆราช ว่าการหัวเมืองใหญ่ๆ
       ๑.๓ พระครู ว่าการหัวเมืองเล็ก หรือในราชธานี

ต่อมาจึงยกพระครูให้สูงเท่ากับ พระสังฆราชหัวเมือง ที่เราเรียกว่า "พระราชาคณะ" อยู่ทุกวันนี้

๒. คำว่า "สมเด็จ" เป็นภาษาเขมรที่นำมาใช้ ตำแหน่งสมเด็จในสมัยพระนารายณ์มหาราช ปรากฏในหนังสือของลาลูแบร์ "เรื่องเมืองไทย" ว่า พระวันรัตน์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ที่มหาสังฆปรินายก ปกครอง คณะสงฆ์ทั้งปวง

แต่ในหนังสือเก่าๆ มีชื่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี ส่วน สมเด็จพระวันรัตน์ เป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี รูปใดมีพรรษามากรูปนั้น ก็เป็นสมเด็จ พระสังฆราช

-------------------------------------------------------------------------------------------------

๕. การปกครองพระสงฆ์ในสมัยกรุงธนบุรี

อาณาจักรสมัยกรุงธนบุรี ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะถูกพม่าทำลาย หลังจาก พระเจ้ากรุงธนบุรี รวบรวมอำนาจได้แล้ว ก็มิได้ปรากฏว่า ได้พระราชาคณะ ครั้งกรุงเก่ามาเป็น ประมุขสงฆ์ พระที่มาเป็นสังฆราช ก็เป็นเพียงพระอาจารย์ดี วัดประดู่ องค์ที่ ๒ คือ พระอาจารย์ศรี วัดพน้ญเชิง ซึ่งมิใช่พระราชาคณะ รูปที่ ๓พระสังฆราชชื่น ซึ่งคงเป็นพระ ที่ทรงสมณะเก่า สมัยกรุงอยุธยา พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เชิญมาจาก เมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก เดิมคงเป็นพระครูสุธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าคณะเมืองระยอง แต่ภายหลัง ในรัชกาลที่ ๑ ถูกลดยศ ลงจากพระสังฆราช ลงมาเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี ว่าที่พระวันรัตน์

สรุป การปกครองสงฆ์ยุคนี้ เอาแบบอย่างมาจากอยุธยา และในตอนกลางรัชกาล การ คณะสงฆ์เจริญมาก แต่ตามพงศาวดารกล่าวว่า ในตอนปลายรัชกาลก็เสื่อมลง เพราะ พระเจ้า กรุงธนบุรี สำคัญผิดไป แต่ก็นับว่าพระองค์ก็ทรงได้กอบกู้ฐานะ พระสงฆ์ไว้เท่าๆ กับการกอบกู้ เอกราชของชาติไว้นั้นเอง

-------------------------------------------------------------------------------------------------

๖. การปกครองคณะสงฆ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

๖.๑ รัชกาลที่ ๑ ทรงปรับปรุงคณะสงฆ์พอสรุปได้ดังนี้

(๑) ให้พระภิกษุบางรูปลาสิกขา เพราะทรงปฏิบัติไม่เหมาะ ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และ โปรดเกล้าให้ตั้งแต่งใหม่หมด สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) วัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งถูกถอดยศใน สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ได้รับสถาปนา ขึ้นเป็นสมเด็จพรสังฆราชอีก นับว่าเป็นสังฆราช องค์แรก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

(๒) รัชกาลที่ ๑ ได้ออกกฏหมายสงฆ์ เพิ่มขึ้นจากวินัยสงฆ์อีกด้วย กฏหมาย ที่ออกมามี ๑๐ ฉบับ ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ ฉบับสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๔ นับเป็นกษัตริย์องค์แรก ที่ออก กฏหมายคณะสงฆ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการฟื้นฟู บ้านเมือง และเพื่อความเป็นระเบียบ เรียบร้อยของบ้านเมือง

(๓) สมณศักดิ์ของพระสงฆ์ แบ่งออกเป็น ๒ อันดับ คือ พระราชาคณะผู้ใหญ่ และ พระราชา คณะสามัญ พระราชาคณะผู้ใหญ่กำหนดไว้ ๔ ชั้น คือ
       ๓.๑ สมเด็จพระสังฆราช ซ้าย-ขวาได้แก่สมเด็จพระอริยวงศ์และสมเด็จพระ วันรัตน์
       ๓.๒ พระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี พระพุทธโฆษาจารย์ ผู้ช่วยสังฆ ปรินายก พระพิมลธรรม เจ้าคณะรองฝ่ายซ้าย พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองฝ่ายขวา
       ๓.๓ พระพรหมมุนี พระธรรมเจดีย์ คณะเหนือ พระธรรมไตรโลก คณะใต้
       ๓.๔ พระเทพกวี คณะเหนือ พระเทพมุนี คณะใต้ พระญาณไตรโลก เจ้าคณะ รองอรัญวาสี นอกจากนี้เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญทั้งหมดคือ พระเทพโมลี พระธรรมโกษา พระโพธิวงศ์ เป็นต้น แต่พระโพธิวงศ์ ยกเป็นชั้นเทพ ในสมัยพระเจ้า กรุงธนบุรี หรือรัชกาลที่ ๑ ส่วนพระราชาคณะ ยังไม่มี

๖.๒ รัชกาลที่ ๒
คณะสงฆ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง สมณศักดิ์ที่น่าสนใจ คือ รัชกาลที่ ๒ ทรงตั้งพระเจ้า น้องยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี ซึ่งผนวชอยู่ที่วัดพระเชตุพนเป็น "พระองค์เจ้า พระราชาคณะ กรมหมื่น นุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์" แต่มีสมณศักดิ์เสมอ พระราชาคณะชั้นสามัญ

๖.๓ รัชกาลที่ ๓
ทรงปฏิรูปคณะสงฆ์ขึ้น เหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับคณะสงฆ์มีดังนี้

(๑)โปรดให้รวมพระอารามหลวง และอารามราษฎร์ในกรุง เข้าเป็นคณะหนึ่งต่างหาก เรียกว่า "คณะกลาง" ขึ้นในกรมหมื่นนุชิตชิโนรส

(๒) คณะสงฆ์เพิ่มขึ้นมี ๔ คณะ คือ
       ๒.๑ คณะเหนือ
       ๒.๒ คณะใต้
       ๒.๓ คณะกลาง
       ๒.๔ คณะอารัญวาสี

(๓) มีคณะใหม่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้อีก คือ คณะธรรมยุติ ครั้งแรกจำนวนน้อยอาศัย อยู่กับ คณะกลาง

๖.๔ รัชกาลที่ ๔

คณะสงฆ์เริ่มดีขึ้น จำนวนพระสงฆ์เริ่มมากขึ้น ตั้งแต่คร้งรัชกาลที่ ๓ ทั้งยังมีคณะใหม่ เพิ่มขึ้น อย่างเป็นทางการคือ คณะธรรมยุติ และคณะอรัญวาสีเดิมกลับหายไป ไม่ทราบชัด ว่า หายไปไหน ตอนเริ่มรัชกาลยังมีอยู่ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศเป็นเจ้าคณะ แต่ชื่ออรัญวาสีค่อยๆ หายไปในภายหลัง

ด้านสมณศักดิ์ รัชกาลนี้เพิ่มมากขึ้น และทรงเห็นว่า กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ทรง คุณธรรมยิ่งกว่า สังฆนายกอื่นๆ จึงโปรดตั้งพระราชพิธี มหาสมณุตมาภิเษก สถาปนา ขึ้นเป็น "กรมสมเด็จ พระปรมานุชิตชิโนรส" เป็นประธานสงฆ์ทั่ว ราชอาณาจักร และทรงสถาปนาพระพิมลธรรม (อู่) วัดสุทัศน์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ อนัโรม ตามพระราชประสงค์ ของรัชกาลที่ ๓ ที่จะให้เป็นสังฆราช

แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นสังฆราช เป็นเพียงเจ้าคณะใหญ่ ฝ่ายเหนือเท่านั้น และทรงยก พระพุทธ โฆษาจารย์(ฉิม) เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ด้วย ส่วนการปกครอง หัวเมือง แต่เดิม ตำแหน่ง เป็นพระสังฆราชา รัชกาลที่ ๔ โปรดให้เปลี่ยนเป็น สังฆปาโมกข์ มียศเทียบเท่า พระครู แต่บางเมือง ก็มียศเท่าพระราชาคณะ ใช้ราชทินนาม เหมือนกรุงเทพฯ

๖.๕ สมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นระยะที่กิจการทุกส่วนของประเทศ ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากระบบเก่า สู่ระบบใหม่ ด้านศาสนาก็เช่นเดียวกัน มีการปฏิรูปขึ้นในทุกๆ ด้านเวลานั้น พระเจ้า น้องยาเธอ กรมหมื่น วชิรญาณวโรรส ได้ทรงช่วยในด้านการคณะสงฆ์เป็นอย่างดี

ด้านสมณศักดิ์ มีที่น่าสนใจคือ ในรัชกาลนี้ได้เพิ่มสมณศักดิ์ชั้น "ราช" ขึ้นใหม่ ครั้นก่อน พระราชาคณะมี ๔ ชั้น คือ พระราชาคณะสามัญ ๑ ชั้น เมื่อเพิ่มชั้นราชขึ้น จึงมี ๕ ชั้น ส่วนชั้นสามัญ กลายเป็นชั้นที่ ๖ จึงเรียงตามลำดับใหม่ได้ดังนี้
       ๑. ชั้นสมเด็จ
       ๒. ชั้นรองสมเด็จ
       ๓. ชั้นธรรม
       ๔. ชั้นเทพ
       ๕. ชั้นราช
       ๖. ชั้นเทพ
และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงฐานะ ของบางตำแหน่ง เช่นเลื่อนพระพรหมมุนี จากชั้น ๓ ขึ้นเป็นชั้น ๒ เลื่อนพระธรรมโกษาจารย์จากชั้นสามัญ เป็นชั้นที่ ๓ เป็นต้น เรื่องสำคัญใน วงการ สงฆ์ คือการมีพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์อย่าง จริงจังขึ้น ซึ่งควรจะรู้ โดยละเอียด ไว้ดังนี้

พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑
ก่อนพระราชบัญญัติฉบับนี้ เราทราบมาแล้วว่าคณะสงฆ์จัดเป็น ๓ นิกาย คือ
       ๑. มหานิกาย
       ๒. ธรรมยุติกนิกาย
       ๓. รามัญนิกาย
ทั้งหมดนี้สืบมาจากทักษิณนิกายหรือเถรวาท แต่ก็มีอุตรนิกาย หรือมหายานอยู่บ้าง คือ พระญวน กับพระจีนฝ่ายหลังนี้ มิได้รับการยกย่อง เป็นพระภิกษุสงฆ์ คงถือว่า เป็นนักพรต เท่านั้น

มาถึงรัชกาลที่ ๕ จึงทรงตั้งหัวหน้าฝ่ายญวน เป็นพระครู และฝ่ายจีน เป็นพระ อาจารย์ ก่อน พระราชบัญญัติ ฉบับนี้ก็ยังคงมี ๔ คณะเหมือนรัชกาลที่ ๓,๔ คือ

       ๑. คณะเหนือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(แสง) วัดราชบูรณะ เป็นเจ้าคณะ ใหญ่ โดยมากรวมเอาวัดทางเหนือมาขึ้นกับคณะนี้ และคณะนี้ก็ขึ้นตรงต่อมหาดไทย

       ๒. คณะใต้ สมเด็จพระวันรัตน์ (ฑิต) วัดมหาธาตุเป็นเจ้าคณะใหญ่ รวมเอาวัด ทางใต้มา ขึ้นกับคณะนี้ และขึ้นต่อกรมพระกลาโหมและกรมท่า

       ๓. คณะกลาง สมเด็จพระพำฒาจารย์ (หม่อนเจ้าสังฆฑัต) วัดพระเชตุพน เป็นเจ้าคณะ ใหญ่ รงมเอาวัดในส่วนกลางและนครเขื่อนขันธ์ (อ.พระประแดง) มาขึ้นในคณะนี้ แต่ที่ปรากฏ จริงวัดในส่วนกลางไปขึ้นต่อคณะเหนือก็มี คณะใต้ ก็มีสับสนอยู่

       ๔. คณะธรรมยุติ เวลานั้นยังไม่มีสมเด็จเจ้าคณะใหญ่ มีพระศาสนโสภณ เป็นเจ้าคณะรอง รวมเอาวัดธรรมยุติทั่วราชอาณาจักรขึ้นคณะนี้ ผู้ปกครองต่อมาเป็น พระราชาคณะ ที่เป็นเจ้า เสียส่วนมากก สมเด็จเจ้าคณะใหญ่ของคณะนี้ มีฐานานุกรม เป็นพิเศษกว่าคณะอื่นๆ

การปกครองแบ่งเป็นคณะ ๔ คณะนี้ที่น่าสนใจก็คือ ไม่ทราบเหตุใด จึงแบ่งเช่นนี้ เข้าใจว่า เปลี่ยนมาจากคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย คณะอรัญวาสี และคณะคามวาสี ฝ่ายขวา ครั้งกรุงเก่าคือ
       - คณะเหนือ = คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย
       - คณะใต้ = คณะคามวาสีฝ่ายขวา
       - คณะอรัญวาสี
       - คณะกลาง

ทั้งหมดนี้มีมาแล้วครั้งรัชกาลที่ ๓ ต่อมาคณะอรัญวาสีค่อยๆ หายไปรวมกับคณะ คามวาสี จึงเหลือเพียง ๓ คณะ ครั้นต่อมาจึงมีคณะธรรมยุติขึ้นจึงเป็น ๔ คณะอีก

ครั้นต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๕ (ร.ศ.๑๒๑) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้ ตรา พระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ขึ้น เพื่อส่งเสริมสนับสนุน การปฏิบัติธรมวินัย ให้สอดคล้องกับการปกครองบ้านเมือง

พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้มีเจ้าคณะใหญ่อีก ๔ คณะ รวมเป็น ๘ รูป ทั้ง ๘ รูปนี้เป็น "กรรมการ มหาเถรสมาคม" ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางกานปกครองคณะสงฆ์ ทั่วราชอาณาจักร พ.ร.บ. ฉบับนี้ กำหนดให้มีสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว เป็น ผู้บัญชาเด็ดขาด เป็นประธานของ มหาเถรสมาคม การปกครองแบ่งออกเป็นมณฑล เมือง แขวง และวัด ทั้งหมดนี้แบ่งกันขึ้นตาม คณะใหญ่ทั้ง ๔ พ.ร.บ.นี้มี ๔๕ มาตรา และให้เสนาบดีกระทรวง ธรรมการ (ปัจจุบันคือ ร.ม.ต.กระทรวงศึกษา) รักษาการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

สำหรับคณะธรรมยุตินั้น เดิมรวมอยู่กับคณะกลาง และได้แยกเป็นคณะต่างหาก ครั้งแรกนั้น ไม่มีเจ้าคณะใหญ่ พ.ศ. ๒๓๙๓ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ จึงได้ทรง เป็นเจ้าคณะใหญ่ ต่อมาก็คือ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส

๖.๖ สมัยรัชกาลที่ ๖-๗
การคณะสงฆ์ดำเนินตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ตลอด แต่ตอนปลายรัชกาลที่ ๗ คณะสงฆ์ กลุ่มหนึ่ง แสดงสังฆมติจะให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้ การเคลื่อนไหวขยายวงกว้าง ออกไป จนต้องมี การเปลี่ยนแปลงในครั้งรัชกาลที่ ๘

๖.๗ สมัยรัชกาลที่ ๘

คณะรัฐบาลปฏิวัติ ซึ่งมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็พยายาม แก้ไข พ.ร.บ.เก่า และต้องการจะรวมนิกายทั้ง ๒ คือมหานิกายกับธรรมยุตินิกาย เข้าด้วยกัน เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๘๔ พระยาพหลฯ ได้อุปสมบท ณ วัดพระศรี มหาธาตุ บางเขน ซึ่งสร้างขึ้น เพื่อรวมนิกาย

การอุปสมบทครั้งนี้นิมนต์พระนั่งอันดับ ๕๐ รูป มีพระมหานิกาย ๓๔ รูป พระธรรมยุติ ๑๕ พระรามัญ ๑ เมื่อพระยาพหลฯ ลาสิกขาบทไปแล้ว คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ ก็ครองวัดมหาธาตุเสีย การรวมนิกายจึงไม่สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ความพยายามรวมนิกาย ก็มีผลบ้าง คือ สภาผู้แทน ได้ออกกฎหมายสงฆ์ เมื่อ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๘๔ นั่นคือ " พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.๒๔๘๔" มี ๖๐ มาตรา ไม่มี มาตรา ใด แบ่งแยกการปกครอง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ประกอบด้วย คณะสังฆมนตรี สังฆสภา พระธรรมธร (อัยการ) พระวินัยธร (ผู้พิพากษา) เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะ ตำบล และเจ้า อาวาส อำนาจสูงสุดอยู่ที่ สมเด็จพระสังฆราช

นอกนี้ยังแบ่งส่วนในคณะสังฆมนตรี ออกเป็นองค์การใหญ่ๆ ๔ องค์การ คือ
       ๑. องค์การปกครอง ทำหน้าที่ฝ่ายปกครอง
       ๒. องค์การศึกษา ทำหน้าที่ฝ่ายการศึกษา
       ๓. องค์การเผยแผ่ ทำหน้าที่เผยแผ่อบรม
       ๔. องค์การสาธารณูปการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้างบูรณะ

พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นฉบับ ประชาธิปไตย คณะสงฆ์สอดคล้อง กับบ้านเมืองทุกประการ ด้านการ ศึกษา สมัยนี้เจริญมาก เพราะองค์การศึกษาดูแลควบคุม ตั้งแต่ส่วนกลาง ไปถึงส่วนภูมิภาค ด้านอื่นๆ ก็ได้รับการเอาใจใส่เช่นเดียวกัน

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ สมัยที่พณฯ จอมพล ส. ธนรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี (รัฐบาลปฏิวัติ) ต้องการให้ใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์เป็นไปอย่างรวดเร็วทันการ รัฐบาล จึงยกเลิก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ เสีย และให้ออก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ แทนโดยให้อำนาจเด็ดขาดกับ ฝ่ายปกครอง (เจ้าหน้าที่บ้านเมือง) และพระปกครอง มากขึ้น แต่ด้านการศึกษาและการเผยแผ่ ศาสนธรรมนั้นด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จึงปรากฏว่าการศึกษาในระยะหลังนี้ ไม่ก้าวหน้าเหมือน สมัย พ.ร.บ.๒๔๘๔

๖.๘ สมัยรัชกาลที่ ๙ (พ.ร.บ.๒๕๐๕)
สมเด็จพระสังฆราช เป็นประมุข มหาเถรสมาคม แบ่งการปกครองออกเป็น ๕ คือ หนเหนือ หนใต้ หนกลาง หนตะวันออก และคณะธรรมยุติ และแยกการปกครองออก เป็นภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล และเจ้าอาวาส

ที่มา : http://www.satit.up.ac.th

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์