พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๓๗
๗. กามสูตร
(ฉบับหลวง ข้อมูลคลาดเคลื่อน)
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วย กามโยคะ ผู้ประกอบแล้วด้วย ภวโยคะ เป็น อาคามี (พระไตรปิฎกใช้คำว่า อนาคามี ที่ถูกนั้น ต้องเป็น อาคามี) ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้ (คือกลับมาสู่อัตภาพแห่งมนุษย์)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคลผู้พรากแล้วจาก กามโยคะ (แต่) ยังประกอบด้วย ภวโยคะ เป็น อนาคามี ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคลผู้ พรากแล้วจากกามโยคะ พรากแล้วจาก ภวโยคะ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะและภวโยคะ ย่อมไปสู่สงสารซึ่งมีปรกติ ถึงความเกิดและความตาย
ส่วนสัตว์เหล่าใดละกามทั้งหลายได้ เด็ดขาด แต่ยังไม่ถึงความสิ้นไป แห่งอาสวะ ยังประกอบด้วยภวโยคะ
สัตว์เหล่านั้นบัณฑิตกล่าวว่า เป็นพระอนาคามี
ส่วนสัตว์เหล่าใด ตัดความสงสัยได้แล้ว มีมานะและมีภพใหม่สิ้นแล้ว ถึงความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว สัตว์เหล่านั้นแลถึงฝั่งแล้วในโลก
จบสูตรที่ ๗
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๗๐
๗. กามโยคสูตร
ว่าด้วยผู้ประกอบด้วยกามไปสู่วัฏฏสงสาร
(ฉบับมหาจุฬา ข้อมูลถูกต้อง)
{๒๗๖} [๙๖] แท้จริง พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว พระสูตรนี้ พระอรหันต์ กล่าวไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบตนด้วยกามโยคะ ประกอบตนด้วยภวโยคะ ชื่อว่า เป็น อาคามี คือยังต้องกลับมาเกิดในกามภูมิอีก
บุคคลผู้พรากตนออกจากกามโยคะ แต่ยังประกอบตนด้วยภวโยคะ ชื่อว่าเป็น อนาคามี คือเป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิดในกามภูมิอีก
บุคคลผู้พรากตนออกจากกามโยคะ และภวโยคะได้ขาดแล้ว ชื่อว่าเป็น อรหันต์ คือเป็นผู้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น จึงตรัส คาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบตน
ด้วยกามโยคะและภวโยคะทั้งสอง
ชื่อว่ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
ส่วนผู้ที่ละกามทั้งหลายได้เด็ดขาด
แต่ยังไม่ถึงความสิ้นอาสวะ
ยังประกอบตนด้วยภวโยคะ
บัณฑิตทั้งหลาย เรียกว่า เป็นอนาคามี
แต่ผู้ที่ตัดความสงสัยได้
สิ้นทั้งมานะและภพที่จะเกิดใหม่
ถึงความสิ้นอาสวะแล้ว
เป็นผู้ชื่อว่า ถึงฝั่งแล้วในโลก
แม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล
กามโยคสูตรที่ ๗ จบ
|