เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
  ประวัติบุคคล และสถานที่ ในสมัยพุทธกาล
ค้นหาคำที่ต้องการ                    

 พระยโสธราเถรี (พระชายาเจ้าชายสิทธัตถะ) 148    
ข้อมูลของบุคคล และสถานที่เมื่อครั้งพุทธกาล รวมรวมมาจากหลายๆแหล่ง อาจไม่ใช่คำกล่าวของพระศาสดา หรือของสาวกที่เชื่อถือได้ บางเรื่องไม่ได้กล่าวไว้
ในพระไตรปิฏก บางเรื่องได้แต่งเสริม ทำให้ดูคล้ายนิยายปรำปราที่เล่าสืบต่อกันมา ผู้ที่ศึกษาจึงควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และพิจารณาตาม “กาลามสูตร



พระยโสธราเถรี (พระชายาเจ้าชายสิทธัตถะ)
(ชื่ออื่น : พิมพา ยโสธราภัททา กัจจานาภัทท กิจจานาภัทท กัจจายนา)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

             ยโสธรา หรือ ภัททากัจจานา บางแห่งออกนามว่า พิมพา หรือ ยโสธราพิมพา เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระมารดาของพระราหุล และเป็นพระขนิษฐาของพระเทวทัต หลังจากเจ้าชาย สิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระนางยโสธราได้อุปสมบทเป็นภิกษุณี และบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

พระยโสธราเถรีนิพพานขณะพระชนมายุ 78 พรรษา หรือ 2 ปีก่อนการดับขันธ์ ปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนาม (มีหลายพระนาม)
ยโสธรา (บาลี) หรือ ยโศธรา (สันสกฤต) มาจากคำว่า ยส หรือ ยศ แปลว่า เกียรติ, ความดีงาม กับคำว่า ธร มาจากคำว่า ธริ แปลว่า การแบกรับ, การสนับสนุน เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "ผู้ทรงยศ" บ้างก็เรียก ยโสธราเถรี/ยโศธราเถรี (Yaśodharā Theri), พิมพาเทวี (Bimbādevī), ภัททกัจจานา (Bhaddakaccānā) และ ราหุลมาตา (Rāhulamātā "มารดาของราหุล") ในเอกสารบาลีจะออกพระนามสองอย่าง คือ ยโสธรา และ ภัททกัจจานา

พระประวัติ

พระชนม์ชีพช่วงต้น
พระนางยโสธรา เป็นพระราชธิดา ในพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งโกลิยะ กับพระนางอมิตา แห่งสักกะ มีพระเชษฐาพระองค์หนึ่งนามว่าพระเทวทัต  พระชนกเป็นพระราชโอรสใน พระเจ้าอัญชนะแห่งโกลิยะ ส่วนพระชนนีเป็นพระขนิษฐา ของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งสักกะ พระชนกและพระชนนีเป็นเครือญาติกัน สืบสันดานมาแต่ พระเจ้าโอกกากราช  โดยตระกูลสักกะและโกลิยะจะสมรสกัน ระหว่างสองตระกูล เท่านั้น

ดอนัลด์ เอส. โลเปซ (Donald S. Lopez) ศาสตราจารย์ด้านพุทธศาสนา แล ะทิเบตศึกษา และริชาร์ด เอฟ. กอมบริช (Richard F. Gombrich) นักภารตวิทยา และ นักวิชาการด้านภาษาบาลี-สันสกฤตและพุทธศึกษา อธิบายว่าช่วงเวลานั้น อิทธิพลของพระเวท ไม่น่าจะเข้าถึงแคว้นทั้งสอง รวมทั้งการเสกสมรสในหมู่ เครือญาตินั้น เป็นเรื่องต้องห้ามของสังคมอารยัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าตระกูลทั้งสองนี้ อาจมิได้สืบเชื้อสายชาวอารยัน

ยโสธราเป็นหนึ่งในเจ็ดมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของที่เกิดวันเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะ เรียกว่าสหชาติ 7 ได้แก่ นางยโสธราหรือพิมพา พระอานนท์ นายฉันนะ อำมาตย์ กาฬุทายี ม้ากัณฑกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์ทั้งสี่

กล่าวกันว่ายโสธรามีพระสิริโฉมงดงาม มีพระสรีระและผิวพรรณงาม ดุจทองคำชั้น ดีที่สุดจึงมีพระนามว่าภัททากัจจานา แม้เจ้าหญิงรูปนันทาซึ่งเป็นพระญาติ จะทรงงาม จนได้สมญาว่าชนบทกัลยาณี ก็ยังงามไม่เทียมเท่า

เสกสมรส
ยโสธรา เสกสมรสกับ สิทธัตถะ ขณะพระชันษา 16 ปี และได้ประสูติกาลพระโอรส พระองค์แรกและพระองค์เดียวคือราหุล ขณะมีพระชันษา 29 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้น สิทธัตถะ กำลังตัดสินพระทัยออกบวช หลังพบเทวทูต 4 พระเจ้าสุทโธทนะนำข่าว พระกุมารประสูติใหม่มาแจ้งให้ทราบ สิทธัตถะทรงอุทานออกมาว่า "ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ" แปลว่า "บ่วงเกิดขึ้นแล้ว พันธนาการเกิดขึ้นแล้ว" ทั้ง ๆ ที่พระองค์กำลัง ตัดห่วงอาลัยอื่นแล้ว แต่กลับมีห่วงใหม่ขึ้นมาผูกมัดมิให้พระองค์ออกผนวช

คืนหนึ่งสิทธัตถะลอบเสด็จออกจากพระราชวังในยามวิกาล เพื่อออกผนวชหลัง ราหุล ประสูติเพียง 7 วัน ก่อนจะเสด็จออกไป ทรงไปที่ห้องพระบรรทมของพระยโสธราก่อน แต่เห็นว่าพระชายาหลับสนิท และทอดพระกรไว้เหนือเศียรพระราหุล ทรงเกิดสิเน่หา อาลัย ครั้นจะอุ้มพระโอรสก็เกรงพระชายาจะตื่น จึงข่มพระทัยออกจากพระราชวัง

ครั้นรุ่งสางยโสธราเศร้าโศกพระทัยยิ่งที่สวามีหายออกไป ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ และยโสธราก็เพียรติดตามข่าวสิทธัตถะอยู่เสมอด้วยความรัก และนับถือ เมื่อยโสธรา ทรงทราบว่าสิทธัตถะได้ออกไปแสวงหาสัจธรรมเพื่อตรัสรู้ พระองค์จึงทรงดำเนิน พระชนมชีพอย่างเรียบง่ายตามอย่างสิทธัตถะ

ยโสธราเมื่อได้ทราบข่าวพระสวามีว่าทรงนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด ก็ทรงนุ่งผ้า ย้อมน้ำฝาด บ้าง ทราบว่าพระสวามีเสวยภัตตาหารหนเดียว พระนางก็เสวยพระกระยาหารเพียง หนเดียว ทราบว่าพระสวามีทรงละที่นอนใหญ่ ก็ทรงเอาผ้าปูนอนบนพระแท่น บรรทมขนาดน้อย ทราบว่าพระสวามีเว้นจากเครื่องหอมและดอกไม้ พระนางก็เว้น จากเครื่องหอมและดอกไม้ จนกระทั่งสิทธัตถะบรรลุโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นสมเด็จ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า

ยโสธราเคยทูลพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ก่อนนิพพานไว้ว่า "...ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันยอมรับทุกข์ทรมาน มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน ในสงสารเป็นอเนก ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์..." และ "...ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉัน ได้รับสุขก็อนุโมทนา และคราวที่ได้รับทุกข์ก็ไม่เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้ว ทุกอย่าง เพื่อประโยชน์แก่พระองค์..."

ผนวช
หลังพระโคตมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะจึงทูลเชิญให้พุทธองค์ เสด็จ ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่อผ่านไปแล้วสองปีหลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไป ยังกบิลพัสดุ์ ช่วงแรกยโสธรามิได้ออกไปต้อนรับพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงถือบาตร เสด็จขึ้นไปหายโสธรา เมื่อยโสธราเห็นเช่นนั้นจึงรีบเสด็จไปหาพุทธองค์ ทรงจับข้อ พระพุทธบาททั้งสองเกลือกบนพระเศียรแล้วถวายบังคม โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัส เล่าเรื่องจันทกินรีชาดกจนนางยโสธราบรรลุโสดาปัตติผล

ต่อมาจึงให้ราหุลตามเสด็จพุทธองค์ และออกบวชเป็นสามเณรรูปแรก ในพุทธศาสนา ขณะอายุ 7 ขวบ

ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะนิพพานในเศวตฉัตร และพระเจ้ามหานามะขึ้นเสวย ราชสมบัติ แทน พระนางมหาปชาบดีโคตมีพร้อมด้วยหญิงอีก 500 คนออกบวชเป็นภิกษุณี ต่อมา ยโสธรามีพระประสงค์ที่จะบวชเป็นภิกษุณีบ้าง เพราะไม่มีกิจอันใดในพระราชวังแล้ว รวมทั้งบริจาคทรัพย์สินที่ทรงครอบครองทั้งหมดทั้งไร่นา ข้าทาสบริวาร

พระมหาปชาบดีโคตมีจึงทรงบวชให้ตามพระประสงค์มีนามว่า "พระยโสธราเถรี" หรือ "พระภัททากัจจานาเถรี" ขณะบวชก็ทรงบำเพ็ญเพียร เจริญวิปัสสนา เพียงครึ่ง เดือน ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงทรงแต่งตั้งให้พระยโสธราเถรี เป็นเอตทัคคะด้านอภิญญาใหญ่ เพราะสามารถระลึกชาติได้ถึงอสงไขยหนึ่งกับ อีกแสนกัปเพียงครั้งเดียว

พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระยโสธราเถรี ว่าเป็นเอตทัคคะ 6 ด้านคือ
(ข้อมูลนี้ไม่ตรงกับพระไตรปิฏก ได้เฉพาะผู้ได้บรรลุอภิญญาใหญ่เท่านั้น)
    แสดงฤทธิ์เหนือสามัญชนได้
   มีหูทิพย์ ฟังเสียงได้ในที่ไกลได้
   ทายใจผู้อื่นได้
   ระลึกชาติได้
   มีตาทิพย์ มองเห็นในที่ไกลได้
   ทำเรื่องหมองใจให้คลายสิ้นไปได้


เมื่อพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพานล่วงไปแล้ว พระยโสธราเถรีจึงเป็นใหญ่ในหมู่ ภิกษุณี ปกครองภิกษุณี 100,000 รูป

นิพพาน
พระยโสธราเถรีนิพพานในพรรษาที่ 43 แห่งพระผู้มีพระภาค ขณะมีพระชนมายุได้ 78 พรรษา ก่อนที่พระนางจะนิพพาน พระยโสธราเถรีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลลาไว้ ความว่า "หม่อมฉันมีอายุได้ 78 ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว ถึงความเป็นผู้ มีกายค้อมลงโดยลำดับ

ขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่หง่อม ชีวิตของหม่อมฉันมีอยู่นิดหน่อย หม่อมฉันจักละพระองค์ไป ที่พึ่งของตนหม่อมฉันทำไว้แล้ว ในกาลปัจฉิมวัยนี้ ความตายเข้ามาปิดล้อมไว้แล้ว

ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันจักนิพพานในคืนวันนี้" และกล่าวอีกว่า "ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันไม่มีชาติชรา พยาธิ และมรณะ หม่อมฉันจักเข้าถึง นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นบุรีที่ไม่มีความแก่ ความตาย และไม่มีภัย บริษัทที่เข้าเฝ้าพระองค์อยู่ รู้จักความผิด จึงขอประทานโทษ เฉพาะพระพักตร์ของ พระศาสดา ข้าแต่พระมหาวีระ เมื่อหม่อมฉันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสาร หากมี ความผิดพลาดในพระองค์ หม่อมฉันกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดยกโทษให้แก่ หม่อมฉันด้วยเถิด"

เมื่อพระพุทธเจ้าสดับความเช่นนั้น จึงตรัสไปว่า "เมื่อเธอบอกว่าจะลานิพพาน ตถาคตจะไปว่าอะไรเธอให้มากเล่า เธอผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา จงแสดงฤทธิ์ และตัดความสงสัยของบริษัททั้งปวงในศาสนาเถิด"

หลังจากนั้นพระยโสธราเถรีได้แสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ และขอขมาในการล่วงเกิน พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งทางกาย วาจา ใจ ในครั้นเมื่อใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน หลายกัปในกาลก่อน แล้วเสด็จสู่พระนิพพาน



   
พระไตรปิฎก สุตตันตปิฎก / วินัยปิฎก
 
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์