ฉบับหลวงเล่ม ๑๔ สุตตันตปิฎก หน้า ๓๔๘
สฬายตนวรรค :
อนาถปิณฑิโกวาทสูตร
สฬายตนวรรค
๒. อนาถปิณฑิโกวาทสูตร (๑๔๓)
[๗๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อนาถบิณฑิก คฤหบดี ป่วยทนทุกข เวทนา เป็นไข้หนัก จึงเรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า
มาเถิดพ่อมหาจำเริญ พ่อจงเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ยังที่ ประทับ แล้วจงถวายบังคมพระบาทพระผู้มี พระภาค ด้วยเศียรเกล้า ตามคำ ของเรา แล้วจงกราบทูลอย่างนี้ว่า
(1. อนาถบิณฑิกเศรษฐี ให้บุรุษไปรายงานพระผู้มีพระภาค และ พระสารีบุตร)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกข เวทนา เป็นไข้หนัก ขอถวายบังคมพระบาท พระผู้มีพระภาคด้วย เศียรเกล้า
อนึ่ง จงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่อยู่แล้ว จงกราบเท้าท่าน พระสารีบุตรตามคำของเรา และเรียน อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ขอกราบเท้า ท่าน พระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้า และ เรียนอย่างนี้อีกว่า
ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ โอกาสเหมาะแล้ว ขอท่านพระสารีบุตร จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปยังนิเวศน์ ของอนาถบิณฑิก คฤหบดี เถิด บุรุษนั้น รับคำอนาถบิณฑิกคฤหบดี แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ยังที่ ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
(2. กราบทูลพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาพระสารีบุตร)
[๗๒๑] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อนาถบิณฑิก คฤหบดีป่วย ทนทุกข เวทนา เป็นไข้หนัก ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า
ต่อนั้น เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่อยู่ กราบท่าน พระสารีบุตร แล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง พอนั่ง เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนท่านพระ สารีบุตรดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วยทนทุกข เวทนา เป็นไข้หนัก ขอกราบเท้า ท่านพระสารีบุตร ด้วยเศียรเกล้า และสั่งมา อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ โอกาส เหมาะแล้ว ขอท่าน พระสารีบุตรจงอาศัยความ อนุเคราะห์ เข้าไปยัง นิเวศน์ ของอนาถ บิณฑิกคฤหบดีเถิด ท่านพระสารีบุตร รับนิมนต์ด้วย ดุษณีภาพ
(3. พระสารีบุตรไปยังนิเวศน์ พร้อมกับพระอานนท์)
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรนุ่งสบงทรงบาตรจีวร มีท่าน พระอานนท์ เป็นปัจฉาสมณะ เข้าไปยังนิเวศน์ ของอนาถบิณฑิก คฤหบดี แล้วนั่งบนอาสนะ ที่เขาแต่งตั้งไว้
[๗๒๒] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี้ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านพอทน พอเป็น ไปได้ หรือ ทุกขเวทนาทุเลา ไม่กำเริบ ปรากฏความ ทุเลาเป็นที่สุด ไม่ ปรากฏความกำเริบละหรือ
(4. อนาถบิณฑิก เล่าอาการ ให้พระสารีบุตรฟัง)
อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ กระผมทนไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนา ของกระผมหนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความ กำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความ ทุเลาเลย
[๗๒๓] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณ กระทบ ขม่อมของกระผม อยู่เหมือนบุรุษมีกำลัง เอาของแหลมคมทิ่ม ขม่อม ฉะนั้น กระผมจึงทน ไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของ กระผม หนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏมีความกำเริบ เป็นที่สุด ไม่ปรากฏความ ทุเลาเลย
[๗๒๔] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณเวียน ศีรษะ กระผมอยู่ เหมือนบุรุษมีกำลังให้การ ขันศีรษะ ด้วยชะเนาะมั่น ฉะนั้น กระผมจึงทน ไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผม หนัก กำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏมีความกำเริบ เป็นที่สุด ไม่ปรากฏความ ทุเลาเลย
[๗๒๕] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณ ปั่นป่วน ท้อง ของกระผมอยู่ เหมือนคนฆ่าโค หรือ ลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาด เอามีด แล่โค อันคมคว้าน ท้อง ฉะนั้น กระผมจึงทนไม่ไหวเป็นไป ไม่ไหว ทุกขเวทนา ของกระผมหนักกำเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความ กำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย
[๗๒๖] ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ความร้อนในกายของ กระผม เหลือประมาณ เหมือนบุรุษมีกำลัง ๒ คน จับบุรุษมีกำลัง น้อยกว่า ที่อวัยวะป้องกันตัวต่างๆ แล้ว นาบ ย่าง ในหลุมถ่านเพลิง ฉะนั้น กระผม จึงทน ไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนา ของกระผม หนัก กำเริบไม่ทุเลา ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏ ความทุเลาเลย
(5. พระสารีบุตรเทศนาเรื่องความไม่ยึดมั่นในอายตนะภายใน ๖)
[๗๒๗] สา. ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นจักษุและวิญญาณ ที่ อาศัย จักษุ จักไม่มี แก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสต และวิญญาณ ที่อาศัย โสต จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่น ฆานะ และวิญญาณที่อาศัย ฆานะ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียก อย่างนี้ ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหา และวิญญาณที่อาศัย ชิวหา จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกาย และวิญญาณ ที่อาศัย กาย จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโน และ วิญญาณที่อาศัย มโน จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(6. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นในอายตนะภายนอก ๖)
[๗๒๘] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นรูปและวิญญาณ ที่อาศัยรูป จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเสียงและวิญญาณ ที่ อาศัยเสียง จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกลิ่นและ วิญญาณที่อาศัย กลิ่น จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจัก ไม่ยึดมั่นรสและวิญญาณ ที่อาศัย รส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโผฏฐัพพะและวิญญาณ ที่ อาศัยโผฏฐัพพะ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นธรรมารมณ์ และวิญญาณ ที่ อาศัยธรรมารมณ์ จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(7. พระสารีบุตรแสดงธรรมีกถาเรื่อง ไม่ยึดมั่นในวิญญาณ)
[๗๒๙] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่าน
พึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นจักษุวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัยจักษุวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสตวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัยโสตวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นฆานวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัยฆานวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหาวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัยชิวหาวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกายวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัย กายวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโนวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัยมโนวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(8. พระสารีบุตรเทศนาเรื่อง ความไม่ยึดมั่นในผัสสายตนะ๖)
[๗๓๐] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นจักษุสัมผัส
และวิญญาณ ที่อาศัยจักษุสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโสตสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยโสตสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นฆานสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยฆานสัมผัส จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นชิวหาสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยชิวหาสัมผัส จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นกายสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยกายสัมผัส จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นมโนสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยมโนสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(9. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นในเวทนา)
[๗๓๑] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนา เกิดแต่จักษุสัมผัส
และวิญญาณ ที่อาศัยเวทนาเกิดแต่ จักษุสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่โสตสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยเวทนา เกิดแต่โสต สัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่ฆานสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยเวทนา เกิดแต่ฆานสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่ชิวหาสัมผัส และวิญญาณที่อาศัยเวทนา เกิดแต่ชิวหาสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่กายสัมผัส
และ วิญญาณที่อาศัยเวทนา เกิดแต่กายสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนาเกิดแต่มโนสัมผัส
และวิญญาณที่อาศัยเวทนา เกิดแต่มโนสัมผัส จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(10. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นในธาตุทั้ง ๖)
[๗๓๒] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นปฐวีธาตุ
และวิญญาณที่ อาศัยปฐวีธาตุ จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอาโปธาตุ
และวิญญาณที่อาศัย อาโปธาตุจักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเตโชธาตุ
และวิญญาณที่อาศัย เตโชธาตุ จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวาโยธาตุ
และวิญญาณที่อาศัย วาโยธาตุ จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากาสธาตุ
และวิญญาณที่อาศัยอากาสธาตุ จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(11. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นใน ขันธ์ ๕)
[๗๓๓] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นรูป
และวิญญาณ ที่อาศัยรูป จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนา
และวิญญาณที่อาศัยเวทนา จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสัญญา
และวิญญาณที่อาศัยสัญญา จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสังขาร
และวิญญาณที่อาศัยสังขาร จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวิญญาณ
และวิญญาณที่อาศัยวิญญาณ จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(12. พระสารีบุตรเทศฯา เรื่องความไม่ยึดมั่นใน สมาธิชั้นอรูป)
[๗๓๔] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากาสานัญจายตนฌาน
และวิญญาณที่อาศัย อากาสานัญจายตนฌาน จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่น วิญญาณัญจายตนฌาน
และวิญญาณ ที่อาศัยวิญญาณัญจายตนฌาน จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่น อากิญจัญญายตนฌาน
และวิญญาณ ที่อาศัยอากิญจัญญายตนฌาน จักไม่มีแก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่น เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
และ วิญญาณที่อาศัยเนว สัญญานาสัญญายตนฌาน จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(13. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นในโลกนี้ โลกหน้า)
[๗๓๕] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล
ท่านพึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโลกนี้
และวิญญาณ ที่อาศัย โลกนี้จักไม่มี แก่เรา พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโลกหน้า
และวิญญาณ ที่อาศัย โลกหน้า จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(14. พระสารีบุตรเทศนา เรื่องความไม่ยึดมั่นในอารมณ์ต่างๆ)
[๗๓๖] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียก อย่างนี้ว่า อารมณ์ใดที่เราได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้แสวง หา ได้พิจารณาด้วยใจแล้ว เราจักไม่ยึดมั่นอารมณ์ แม้นั้น และ วิญญาณ ที่อาศัยอารมณ์นั้น จักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
(15. อนาถบิณฑิก ร้องไห้ น้ำตาไหลเพราะไม่เคยสนใจฟังจาก พระศาสดาเลย)
[๗๓๗] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวแล้วอย่างนี้ อนาถบิณฑิกคฤหบดี ร้องไห้น้ำตาไหล ขณะนั้น ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวกะ อนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี้ ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านยังอาลัย ใจจดใจจ่ออยู่หรือ
อ. ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ กระผมมิได้อาลัย มิได้ใจจด ใจจ่อ แต่ว่ากระผมได้นั่งใกล้ พระศาสดา และ หมู่ภิกษุที่น่าเจริญใจ มาแล้วนาน ไม่เคยได้สดับธรรมีกถาเห็นปานนี้
อา. ดูกรคฤหบดี ธรรมีกถาเห็นปานนี้ มิได้แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ ผู้นุ่งผ้าขาว แต่แจ่มแจ้งแก่บรรพชิต
อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอธรรมีกถาเห็น ปานนี้ จงแจ่มแจ้ง แก่คฤหัสถ์ ผู้นุ่งผ้าขาว บ้างเถิด เพราะมีกุลบุตร ผู้เกิดมา มีกิเลสธุลีในดวงตาน้อย จะเสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้ ไม่รู้ธรรม โดย มิได้สดับ
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตร และท่านพระอานนท์ กล่าวสอน อนาถบิณฑิก คฤหบดีด้วยโอวาทนี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป
(16. อนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้ทำกาละ เข้าถึงชั้นดุสิต)
[๗๓๘] ต่อนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดี เมื่อท่านพระสารีบุตร และท่าน พระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ก็ได้ทำกาลกิริยาเข้าถึงชั้นดุสิตแล (เทวดากามภพ)*
(ฟังธรรมก่อนทำกาละ แล้วได้กายชั้นดุสิต ขัดแย้งกับ ผัคคุณสูตร สิ้นสังโยชน์ ๕ ได้คุณสมบัติของ อนาคามี ย่อมเข้าถึง พรหมสุทธาวาส)
(17. อนาถบิณฑิกเทพบุตร มีรัศมีงาม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กล่าวคาถา)
ครั้งนั้น ล่วงปฐมยามไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตร มีรัศมี งาม ส่องพระวิหารเชตวัน ให้สว่างทั่ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ ประทับ แล้วถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค ยืน ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็น ธรรมราชาประทับ เป็นที่เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ กรรม ๑ วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตร หรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย จะบริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้ด้วยอาการนี้ พระสารีบุตร นั้นแล ย่อม บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วย ความสงบ ความจริงภิกษุผู้ถึง ฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่ง ก็เท่าพระสารีบุตร นี้
อนาถบิณฑิกเทวบุตร กล่าวดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ต่อนั้น อนาถบิณฑิกเทวบุตรทราบว่า พระศาสดาทรงพอ พระทัย จึงถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค แล้วกระทำประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นเอง
(18. พระศาสดาตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ทรงเล่าเรื่อง เทพบุตร เข้าเฝ้า)
[๗๓๙] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว พระผู้มีพระภาค ตรัสกะ ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ล่วงปฐมยาม ไปแล้ว มีเทวบุตรตนหนึ่ง มีรัศมีงาม ส่องพระวิหารเชตวันให้สว่างทั่ว เข้ามาหาเรา ยังที่อยู่ อภิวาทเราแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะเราด้วยคาถานี้ว่า
พระวิหารเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้แสวงบุญอยู่อาศัย แล้ว อันพระองค์ ผู้เป็นธรรมราชาประทับอยู่ เป็นที่เกิดปีติแก่ ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ ได้ด้วยธรรม ๕ อย่างนี้ คือ กรรม ๑ วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิ์ ด้วยโคตร หรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็น ประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย จะบริสุทธิ์ ในธรรมนั้น ได้ด้วยอาการ นี้ พระสารีบุตรนั้นแล ย่อมบริสุทธิ์ ได้ด้วย ปัญญา ด้วยศีล และ ด้วยความสงบ ความจริงภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว จะอย่างยิ่ง ก็เท่า พระสารีบุตรนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวบุตรนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว รู้ว่า พระศาสดา ทรงพอพระทัย จึงอภิวาทเรา แล้ว กระทำ ประทักษิณ หายตัวไป ณ ที่นั้นแล
(19. พระอานนท์รับฟังแล้วคิดว่าคงเป็น อนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่)
[๗๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เทวบุตร นั้น คงจักเป็นอนาถบิณฑิก เทวบุตรแน่ เพราะอนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้เป็นผู้เลื่อมใสแล้วในท่านพระสารีบุตร
พ. ดูกรอานนท์ ถูกแล้วๆ เท่าที่คาดคะเนนั้นแล เธอลำดับ เรื่อง ถูกแล้ว เทวบุตรนั้น คืออนาถบิณฑิก เทวบุตร มิใช่อื่น
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ จึงชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล
จบ อนาถปิณฑิโกวาทสูตร ที่ ๑ |